TAKE A PEEK AT
PROGRAM HIGHLIGHTS
อัพเดทและเที่ยวชมงาน
เมื่อบ้านเกิดไม่ใช่แค่ “ที่มา” แต่คือ “พื้นที่แห่งอนาคต”: ถอดบทเรียนจากเวที ISAN HOMECOMER TALK
เมื่อบ้านเกิดไม่ใช่แค่ “ที่มา” แต่คือ “พื้นที่แห่งอนาคต”: ถอดบทเรียนจากเวที ISAN HOMECOMER TALKในยุคที่การเติบโตกระจุกตัวอยู่ในไม่กี่เมืองใหญ่ คำว่า “กลับบ้าน” สำหรับใครหลายคนอาจเป็นเพียงคำปลอบใจ หรือภาพฝันในวัยชรา แต่สำหรับผู้ร่วมเสวนา 5 คนในเวทีนี้ การกลับบ้านคือการ “กลับไปสร้าง” ไม่ใช่แค่กลับไปพัก และนั่นทำให้คำว่า “บ้าน” กลายเป็นพื้นที่แห่งความหวัง อนาคต และการลงมือทำบรรยากาศการสนทนา: “กลับบ้าน” ในฐานะยุทธศาสตร์ชีวิตช่วงต้นของเสวนา เคน – นครินทร์ ตั้งคำถามเปิดเวทีว่า“ในห้องนี้ ใครทำงานหรือเรียนที่บ้านเกิดบ้าง?”คำตอบสะท้อนภาพสังคมได้อย่างน่าทึ่ง: มีคนน้อยกว่าครึ่งที่ได้อยู่บ้านเกิดจริง เขาตั้งข้อสังเกตว่า ประเทศไทยมีสัดส่วน GDP ถึง 70% มาจากเพียง 10 จังหวัด “เราเป็นประเทศที่โตแบบ ‘กระจุก’ มากกว่าการโตแบบกระจาย”เวทีนี้จึงไม่ใช่แค่การพูดถึง “การกลับบ้าน” แบบโรแมนติก แต่คือการตั้งคำถามว่า จะทำให้ “บ้านเกิด” กลายเป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจและความฝันได้อย่างไร?ประเด็นแลกเปลี่ยนหลัก: กลับบ้าน = กลับมาสร้าง“บ้านไม่ใช่แค่ที่พักอาศัย แต่เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจสร้างสรรค์”ณัฐกร สมบัติธรรม – Co-founder UrbanKraft, Founder Khon Kaen Talkเขาเริ่มกลับมาทำเพจ “Khon Kaen Talk” เพื่อพูดเรื่องเมือง ตั้งแต่เรียนยังไม่จบ ด้วยแรงบันดาลใจจากข่าวการผลักดันรถไฟฟ้าสายแรกของขอนแก่น“ตอนเห็นข่าวว่าจะมีรถไฟฟ้าที่ขอนแก่น เราตั้งใจเลยว่าเรียนจบจะกลับบ้าน เพราะเมืองเรากำลังจะโต”จากการสื่อสารออนไลน์ เขาค่อย ๆ เชื่อมโยงคนรุ่นใหม่ นักพัฒนาเมือง และเจ้าของธุรกิจเล็ก ๆ ให้เห็นภาพเมืองในแบบที่ร่วมกันสร้างได้“ถ้าเราไม่ช่วยกันเล่าเรื่องบ้านของเรา ใครจะเล่าให้เราฟัง?”“โอกาสไม่ได้อยู่ที่กรุงเทพฯเสมอไป แต่อยู่ที่ว่าเรามองเห็นอะไรที่บ้าน”ศุภณัฐ นามวงศ์ – CEO ไทบ้าน สตูดิโอ ป่าล้อมเมืองย้อนกลับไปสิบปีก่อน เขาเลือกกลับมาบ้านที่ศรีสะเกษ โดยไม่ได้มีเงินทุนหรือเครือข่ายในวงการภาพยนตร์ สิ่งเดียวที่เขามีคือความเข้าใจ “จังหวะชีวิตของคนอีสาน” ซึ่งไม่อาจจำลองในห้องเขียนบทที่กรุงเทพฯได้ เขาเริ่มจากการถ่ายวิดีโอเล็ก ๆ ในหมู่บ้าน ก่อนจะขยายเป็นจักรวาลหนังไทบ้าน ที่พูดภาษาอีสานอย่างไม่มีการแปล และพาผู้ชมทั่วประเทศเข้าใจชีวิตชนบทแบบไม่ต้องแต่งเติม“ถ้าอยากทำหนังเกี่ยวกับบ้าน เราต้องอยู่บ้านจริง ๆ”“หมอลำไม่ใช่แค่การแสดง มันคือชีวิตของชุมชน”ปาลิตา เชื้อสาวะถี – ศิลปิน อีสานนครศิลป์หลังเรียนจบด้าน voice จาก มศว เธอกลับบ้านที่บ้านสาวะถี จ.ขอนแก่น เพื่อสานต่อวงหมอลำของครอบครัว ซึ่งกำลังขาดคนรุ่นใหม่มาสืบทอด เธอไม่ได้เพียงนำทักษะการร้องมาถ่ายทอด แต่พยายามพัฒนาโครงสร้างของการแสดงให้เชื่อมโยงกับชุมชนในชีวิตจริง เช่น การแสดงในตลาดสด โรงเรียน หรือเวิร์กช็อปกับเด็ก ๆ “เราต้องทำให้หมอลำกลับมาอยู่ในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่อยู่แต่ในงานพิธีหรือบนเวทีใหญ่ ๆ เท่านั้น”“หมอลำไม่ควรอยู่แค่บนเวทีลิเก ๆ เราอยากให้มันมีชีวิตอยู่กับคนจริง ๆ ทุกวัน”“อีสานไม่ใช่พื้นที่ชายขอบ แต่คือขอบฟ้าของโอกาสใหม่”ยิปซี จันทร์เพ็งเพ็ญ – นักสร้างสรรค์เพื่อสาธารณะเธอกลับบ้านที่อีสานตั้งแต่ช่วงแรกของยุค Creative Economy โดยไม่มีต้นแบบหรือคู่มือใด ๆ ให้เดินตาม จากการทำงานกับชาวบ้านในชุมชนเล็ก ๆ เธอเรียนรู้ว่าวัฒนธรรม การกิน การใช้ชีวิต และภูมิปัญญาอีสาน คือฐานทุนอันทรงพลัง ที่สามารถต่อยอดเป็นแบรนด์ งานศิลปะ หรือกิจกรรมทางสังคม “หลายอย่างที่กรุงเทพฯเรียกว่าเทรนด์ มันเกิดจากชีวิตประจำวันของคนอีสานทั้งนั้น”“ถ้าเราไม่กลับไปทำ ใครจะเป็นคนทำ?”“ถ้าโรงเรียนอยู่ไม่ได้ในหมู่บ้าน หมู่บ้านต้องเป็นโรงเรียน”ดร. สัญญา มัครินทร์ – อธิการบดี มหาลัยไทบ้านเขาไม่เชื่อว่าความรู้ต้องอยู่แต่ในห้องเรียน และไม่เห็นด้วยกับระบบการศึกษาที่เน้นย้ายคนเก่งออกจากบ้านเกิด จึงสร้าง “มหาลัยไทบ้าน” ขึ้นในหมู่บ้านของตัวเอง โดยใช้ชุมชนเป็นห้องเรียน ผู้ใหญ่เป็นอาจารย์ และเด็ก ๆ เป็นผู้สำรวจชีวิต เขาชี้ให้เห็นว่าการกลับบ้านของคนรุ่นใหม่จะยั่งยืนได้ ก็ต่อเมื่อมีระบบการเรียนรู้ที่เกิดจากพื้นที่จริง ไม่ใช่แค่การเอาความรู้จากข้างนอกมาวางทับ“อย่าเอาความรู้ที่ไม่รู้จักคนในชุมชน มาวางใส่คนในชุมชน”Key Takeaway “เมื่อการกลับอีสานไม่ใช่แค่เรื่องของบ้าน แต่คือเรื่องของอนาคต”ศุภณัฐ นามวงศ์ การกลับบ้านคือการกลับมาสร้างอุตสาหกรรมใหม่ที่เกิดจากภาษา วัฒนธรรม และความจริงของท้องถิ่นณัฐกร สมบัติธรรม การกลับบ้านคือการกลับมาเชื่อมโยงความรู้ เทคโนโลยี และคนเมือง เพื่อออกแบบอนาคตของพื้นที่ด้วยมือคนในปาลิตา เชื้อสาวะถี การกลับบ้านคือการนำความรู้สมัยใหม่มาสานต่อทุนวัฒนธรรมเดิม ให้ยังมีลมหายใจในโลกอนาคตยิปซี จันทร์เพ็งเพ็ญ การกลับบ้านคือการเปลี่ยน “พื้นที่ร้าง” ให้กลายเป็น “พื้นที่สร้าง” ของแนวคิดสร้างสรรค์ สาธารณะ และชุมชนดร. สัญญา มัครินทร์ การกลับบ้านคือการออกแบบระบบเรียนรู้ใหม่ที่ไม่รอการปฏิรูปจากส่วนกลาง แต่เริ่มจากหมู่บ้านเอง
06 ก.ค. BBBB
Creative Wisdom Talk เวทีที่เปิดประตู “โอกาส” ให้ไอเดียอีสานก้าวไกล เชื่อมต่อโลกธุรกิจเข้ากับหัวใจของคนอีสานอย่างลึกซึ้งและจริงใจ
Creative Wisdom Talk เวทีที่เปิดประตู “โอกาส” ให้ไอเดียอีสานก้าวไกล เชื่อมต่อโลกธุรกิจเข้ากับหัวใจของคนอีสานอย่างลึกซึ้งและจริงใจSession 1 : Customer Centric Mindset – เข้าใจลูกค้าให้ลึก เพื่อธุรกิจที่ยั่งยืนวิทยากร: คุณธนา เธียรอัจฉริยะ – Dean, House of Wisdom (H.O.W.)ในโลกที่ผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้น และความคาดหวังเปลี่ยนไปตลอดเวลา การเข้าใจลูกค้าให้ลึกกว่าระดับข้อมูลพื้นฐานจึงเป็นทักษะสำคัญของนักธุรกิจและนักออกแบบยุคใหม่ คุณธนา เธียรอัจฉริยะ หรือ “คุณโจ้” นำเสนอแนวคิด “Customer-Centric Mindset” ในเวที Creative Wisdom Talk ที่ TCDC ขอนแก่น ด้วยรูปแบบที่ทั้งสนุก ตรงประเด็น และได้แง่คิดจากประสบการณ์ตรงในระดับองค์กรขนาดใหญ่เริ่มต้นด้วยคำถาม: เรารู้จักลูกค้าจริงหรือไม่?คำถามเปิดเวทีที่ทรงพลังจากคุณโจ้คือ “เรารู้จักลูกค้าจริง ๆ หรือเปล่า?” หลายคนตอบว่าใช่ เพราะมีข้อมูลมากมาย มี dashboard เต็มหน้าจอ มีตัวเลขพฤติกรรมการซื้อ มี segmentation เป็นหมวดหมู่ แต่สปีคเกอร์ชวนให้ตั้งคำถามว่า สิ่งเหล่านั้นคือ “ข้อมูล” หรือคือ “ความเข้าใจ” กันแน่การรู้จักลูกค้าคือการเข้าใจบริบทชีวิตของเขาอย่างแท้จริง เช่น เขาอยู่ในช่วงวัยไหนของชีวิต เขากำลังมีความหวัง ความกลัว หรือความไม่แน่นอนอะไร และเขาคาดหวังอะไรจากแบรนด์ของเรา ณ เวลานั้นคุณโจ้ยกตัวอย่างจากธุรกิจธนาคารที่มักแบ่งลูกค้าเป็นวัยเกษียณ วัยทำงาน หรือกลุ่มวัยรุ่น แต่ในความจริงแล้ว คนวัยเกษียณบางคนอาจมี port การลงทุนระดับเดียวกับนักธุรกิจ หรือเป็นนักเดินทางตัวยง การใช้มุมมองจากอายุเพียงอย่างเดียวจึงทำให้มองไม่เห็นความหลากหลายของ “ตัวตน” ลูกค้าเข้าใจความเปลี่ยนแปลง: แม่น้ำเปลี่ยนทิศ แต่คุณยังพายเรือแบบเดิมหนึ่งในเปรียบเทียบที่โดดเด่นของคุณโจ้คือ “แม่น้ำเปลี่ยนทิศ” ธุรกิจจำนวนมากยังคงพายเรือแบบเดิม คิดว่าตัวเองแข็งแรง มีประสบการณ์ มีทุนหนา จึงไม่คิดจะเปลี่ยน แต่แล้ววันหนึ่งกลับพบว่ากระแสน้ำพัดไปอีกทาง ลูกค้าไม่ได้อยู่ที่เดิมอีกต่อไปแล้วสปีคเกอร์ย้ำว่าการเปลี่ยนแปลงไม่ใช่เรื่องไกลตัว แม้แต่บริษัทระดับโลกก็ยังถูกดิสรัปต์เพราะไม่กล้าทิ้งความสำเร็จในอดีต เขายกกรณีของ Kodak และ Nokia เป็นตัวอย่างชัดเจนว่าความล้มเหลวไม่ได้เกิดเพราะไม่มีเทคโนโลยี แต่เพราะ “ไม่เข้าใจลูกค้าในวันที่เขาเปลี่ยนไปแล้ว”คุณโจ้ชวนตั้งคำถาม 3 ข้อที่ทุกธุรกิจควรถามตัวเอง:เรายังจำเป็นอยู่ไหมในชีวิตของลูกค้า?เราทำให้ชีวิตเขาดีขึ้นหรือเปล่า?ถ้าเราหายไปพรุ่งนี้ เขาจะรู้สึกอะไรไหม?เข้าใจจังหวะที่ลูกค้ารู้สึก – ไม่ใช่แค่ข้อมูล แต่คืออารมณ์หัวใจสำคัญของ Customer-Centric คือการเข้าใจอารมณ์ของลูกค้าในช่วงเวลาต่าง ๆ ของการเดินทาง เช่น ก่อนซื้อ ขณะใช้ และหลังใช้ ไม่ใช่แค่ดูยอดขายหรือผลตอบรับ แต่ต้องรู้ว่าลูกค้ารู้สึกยังไงใน “จังหวะที่สำคัญ”คุณโจ้แนะนำให้มอง customer journey แบบละเอียด เช่น จุดที่ลูกค้าเริ่มค้นหาข้อมูล เขากลัวอะไร? จุดที่ตัดสินใจ เขาอยากได้ความมั่นใจแบบไหน? และหลังจากใช้ เขาคาดหวังการติดตามผลหรือคำขอบคุณแบบไหน?สปีคเกอร์ยกตัวอย่างบริษัทประกันที่ลูกค้าประทับใจมากที่สุด ไม่ใช่เพราะได้ค่าสินไหมเร็ว แต่เพราะมีเจ้าหน้าที่โทรหาทันทีหลังเกิดอุบัติเหตุ และพูดเพียงว่า “ไม่ต้องห่วงนะครับ เดี๋ยวเราจะดูแลให้ทุกอย่าง” ประโยคเดียวเปลี่ยน perception ทั้งหมดของแบรนด์โมเดล One Size Fit One – ออกแบบประสบการณ์เฉพาะคนโมเดล One Size Fit One เป็นแนวคิดที่คุณโจ้ผลักดันมาตลอด เพราะเขาเชื่อว่าในยุคที่ลูกค้าเปรียบเทียบได้รวดเร็ว และมีตัวเลือกมหาศาล สิ่งที่จะชนะใจเขาได้คือ “ประสบการณ์ที่รู้สึกว่าเป็นของเรา”เขายกกรณีของ Muji ที่ออกแบบสินค้าด้วยความเข้าใจวิถีชีวิตมากกว่าการวิจัยตลาด เช่น การทำถุงเท้าที่ไม่มีส้น เพราะเชื่อว่าลูกค้าจะใส่สบายและไม่ต้องแยกซ้ายขวา หรือร้านอาหารเล็ก ๆ ที่จำชื่อและพฤติกรรมของลูกค้าได้ จนลูกค้ารู้สึกว่า “เขาใส่ใจฉัน”คุณโจ้แบ่งองค์ประกอบของ One Size Fit One ออกเป็น 3 ส่วน:รู้จัก (Recognize): รู้ว่าเขาเป็นใคร เคยใช้บริการอย่างไรเข้าใจ (Understand): เข้าใจบริบท ความต้องการ และข้อจำกัดใส่ใจ (Care): ส่งสัญญาณว่าเราสนใจ เช่น บริการที่เฉพาะตัว คำพูดเล็ก ๆ หรือการติดตามผลEmotional Moment – ลงทุนให้ถูกจังหวะ แล้วลูกค้าจะจำคุณได้สปีคเกอร์เน้นว่า ลูกค้าไม่ได้จำทุกช่วงของบริการเท่ากัน เขายกแนวคิดจาก Peak-End Rule ซึ่งระบุว่ามนุษย์จะจดจำประสบการณ์จาก “ช่วงที่ดีที่สุด” และ “ตอนจบ” มากที่สุด มากกว่าค่าเฉลี่ยโดยรวมของประสบการณ์นั้นคุณโจ้เสนอให้ธุรกิจลงทุนกับช่วง 3 จุด:Surprise Moment: ให้สิ่งที่ลูกค้าไม่คาดหวัง เช่น การ์ดเขียนด้วยมือ ของขวัญเล็ก ๆ หรือคำขอบคุณจากผู้บริหารPeak Moment: ทำให้ดีที่สุดในช่วงที่สำคัญ เช่น ความเร็วในการตอบคำถาม ความชัดเจนของคำแนะนำEnd Moment: ตอนจบต้องประทับใจ เช่น ข้อความ follow-up หรือบริการหลังการขายที่อบอุ่น“คนไม่ได้รักธุรกิจที่ดีที่สุด แต่รักธุรกิจที่ทำให้เขารู้สึกดีที่สุด ในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด”วัฒนธรรมองค์กรที่ “มองจากสายตาลูกค้า”ในช่วงท้าย คุณโจ้เน้นว่าสิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นเลย ถ้าองค์กรยังคิดจากมุมตัวเอง สปีคเกอร์เสนอให้ “เปลี่ยนเก้าอี้” โดยให้พนักงานทุกคนลองทำตัวเป็นลูกค้าเอง ลองโทร call center ลองซื้อสินค้าแบบ walk-in ลอง complain ดูจริง ๆเขายกกรณีขององค์กรที่จัด Internal Audit แบบสมมุติสถานการณ์ โดยให้ทีมงานปลอมเป็นลูกค้าทุกระดับ ตั้งแต่ลูกค้าที่ยิ้มง่ายจนถึงลูกค้าโกรธจัด ผลลัพธ์คือพนักงานเริ่มเห็นว่า “สิ่งเล็ก ๆ ที่ไม่เคยมองว่าเป็นปัญหา กลับเป็น pain ของลูกค้าโดยตรง”Key Takeaway: Customer-Centric Mindset ไม่ได้หมายถึงการเอาใจลูกค้าเสมอไป แต่คือการฟังลูกค้าให้เข้าใจ และออกแบบประสบการณ์ที่สอดคล้องกับสิ่งที่เขาให้คุณค่า หากเราสามารถเปลี่ยนมุมมองจาก “ขายอะไรดี” เป็น “จะทำให้ลูกค้ารู้สึกยังไงดี” ได้อย่างจริงจัง นั่นคือจุดเริ่มต้นของความยั่งยืนในทุกธุรกิจSession 2 : ติดปีก SMEs อีสาน To The Moon – วิธีสร้างโมเดลธุรกิจให้ขยายง่าย ต่อยอดได้ เติบโตเร็ววิทยากร: คุณหมู ณัฐวุฒิ พึงเจริญพงศ์ – Founder and CEO, Ookbee“ทำธุรกิจไม่จำเป็นต้องเริ่มจากของใหญ่ แต่ต้องเริ่มจากของที่ ‘ซ้ำได้’ และ ‘โตได้’ โดยไม่ต้องอาศัยคุณอยู่ตลอดเวลา”บนเวที Creative Wisdom Talk หัวข้อ “ติดปีก SMEs อีสาน To The Moon” ภายใต้เทศกาล ISAN Creative Festival 2025 ณ TCDC ขอนแก่น คุณหมู ณัฐวุฒิ พึงเจริญพงศ์ ผู้ก่อตั้ง Ookbee และนักลงทุนในสตาร์ทอัปมากกว่า 100 ราย แชร์แนวคิดเรื่องการสร้างธุรกิจที่โตแบบมีโมเดล รองรับการขยายโดยไม่ต้องเหนื่อยเพิ่มเป็นเท่าตัว และเข้าใจโครงสร้างที่เหมาะกับธุรกิจของผู้ประกอบการอีสานที่อยากไปไกลกว่าพื้นที่ตั้งเดิมไม่ใช่แค่ Passion แต่ต้อง Buildableคุณหมูเริ่มต้นด้วยการยกตัวอย่างว่า ธุรกิจเล็กในอีสานจำนวนมากเกิดจากความรัก เช่น ร้านกาแฟเล็ก ๆ ที่เจ้าของชอบกาแฟจริง ๆ หรือร้านเบเกอรี่ที่สูตรขนมอร่อยมาก แต่เมื่อเวลาผ่านไป ธุรกิจกลับโตไม่ได้ เพราะ “เจ้าของต้องอยู่ตลอดเวลา”สิ่งที่คุณหมูแนะนำคือให้เปลี่ยนคำถามจาก “เราชอบทำอะไร?” เป็น “เราสร้างระบบอะไรได้?” เพราะธุรกิจที่จะโต ต้องสามารถดำเนินการต่อได้ แม้เจ้าของจะไม่อยู่หน้าร้านก็ตามธุรกิจที่ดีต้อง ‘ซ้ำได้’ และ ‘ขยายได้’โมเดลสำคัญที่คุณหมูใช้เป็นแนวทางในการลงทุนและแนะนำ คือแนวคิดว่า “ธุรกิจต้องสามารถทำซ้ำ (replicable) และขยาย (scalable) ได้” โดยไม่ต้องเพิ่มต้นทุนเท่า ๆ กับรายได้ที่เพิ่มขึ้นเขาเสนอหลัก 3 ข้อต่อไปนี้สำหรับประเมินธุรกิจ:ระบบต้องแทนคนได้: เช่น SOP ที่ทำให้พนักงานใหม่เรียนรู้เองได้เร็ว ไม่ต้องพึ่งเจ้าของกำไรต่อหน่วยต้องชัดเจน: ทำมากขึ้นต้องไม่ขาดทุน ต้องรู้ว่าขายเพิ่มหนึ่งชิ้นกำไรเท่าไรขยายพื้นที่ได้โดยไม่เพิ่มความซับซ้อน: เช่น มีระบบจัดการหน้าร้านหลังร้านครบตั้งแต่เริ่มเคสตัวอย่าง: ร้านอาหารที่ขยายไม่ออก เพราะผูกกับตัวคนคุณหมูยกตัวอย่างร้านอาหารอีสานแห่งหนึ่งในจังหวัดใหญ่ ที่อร่อยมาก ลูกค้าแน่นทุกวัน แต่ขยายไม่ได้ เพราะทุกจานต้องผ่านมือเชฟ และเชฟคือลูกสาวเจ้าของร้าน พอคิดจะเปิดสาขาสองก็ไม่มีใครทำได้เหมือนเดิมเขาชี้ให้เห็นว่า ความสำเร็จในระดับท้องถิ่นอาจกลายเป็นกับดัก ถ้าเราไม่สร้างระบบหรือสูตรที่ถ่ายทอดได้ ตั้งแต่แรกเริ่มจากเล็ก แต่คิดแบบให้ใหญ่ได้ตั้งแต่แรกคุณหมูเน้นว่าการเริ่มต้นเล็กไม่ผิด แต่ต้องออกแบบให้โตได้ เช่น ใช้เครื่องมือดิจิทัลช่วยวิเคราะห์ยอดขายตั้งแต่เดือนแรก มีระบบสต็อกอัตโนมัติ หรือแม้แต่ใช้ LINE OA กับ chatbot ตอบลูกค้า“ของเล็กที่คิดแบบใหญ่ โตได้เร็วกว่าของใหญ่ที่เริ่มแบบเละ ๆ”เขาเล่าถึงกรณีร้านเสื้อผ้าออนไลน์ที่ใช้ spreadsheet กับ dashboard ตั้งแต่เริ่ม และสามารถคัดลอกโมเดลส่งต่อให้ partner ในต่างจังหวัดได้ภายใน 3 เดือน กลายเป็นแฟรนไชส์ย่อยโดยไม่ต้องลงทุนเองหาเงิน หรือหา VC: ต้องเลือกเส้นทางที่ใช่สำหรับเราคุณหมูยังพูดถึงความเข้าใจผิดของหลายธุรกิจที่คิดว่าต้อง “หา VC” เพื่อจะโต แต่จริง ๆ แล้วธุรกิจบางประเภทอาจไม่เหมาะกับการระดมทุนแบบสตาร์ทอัปเขาเสนอให้เจ้าของกิจการประเมินตัวเองว่า:เราอยากโตเร็ว หรือโตนาน?เราพร้อมเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาไหม?เราโอเคกับการมีผู้ถือหุ้นหรือไม่?“ธุรกิจที่ดีบางทีไม่ต้องโตเร็ว แต่ต้องอยู่ได้โดยไม่ทำร้ายตัวเอง”มองการลงทุนแบบ Portfolio: อย่าเดิมพันทุกอย่างกับธุรกิจเดียวในช่วงท้าย คุณหมูแนะนำให้เจ้าของธุรกิจมองการลงทุนแบบพอร์ต ไม่ใช่แค่มีรายได้จากร้านเดียว หรือธุรกิจเดียว แต่สร้าง “ธุรกิจเล็กหลายตัว” ที่เสริมกัน เช่น ทำคอนเทนต์ขายอาหารใน TikTok แล้วต่อยอดเป็นแบรนด์ซอสของตัวเองเขาย้ำว่าความเสี่ยงของ SME คือการยึดติดกับสิ่งเดียวมากเกินไป โดยไม่คิดเผื่อการเปลี่ยนแปลง เช่น การเมือง พฤติกรรมผู้บริโภค หรือเทคโนโลยีKey Takeaway: SME ที่โตได้ในยุคนี้ ไม่ใช่ธุรกิจที่อร่อยที่สุด ดีที่สุด หรือดังที่สุด แต่คือธุรกิจที่ “มีโมเดลโตได้” เข้าใจว่าอะไรคือแก่นของตัวเอง แล้วถอดสูตรนั้นมาเป็นระบบให้ใครก็ทำตามได้ เมื่อไหร่ที่เราทำซ้ำได้ ขยายได้ และไม่ต้องอยู่เองตลอดเวลา เมื่อนั้นธุรกิจจะไปถึง “To The Moon” ได้จริงSession 3: Data Optimization – เปิดโลกเจ้าของธุรกิจสร้างสรรค์ด้วยดาต้าแบบเหนือเมฆวิทยากร: คุณต่อ ณัฐกรณ์ รัตนชัยสิทธิ์ – CEO, Predictiveในโลกที่ข้อมูลไหลเข้าหาเราทุกวินาที ไม่ใช่แค่เรื่องของปริมาณอีกต่อไป แต่คือการเลือก “ข้อมูลไหนที่ควรรู้ และรู้ไปเพื่ออะไร” บทสนทนาในเวที Creative Wisdom Talk หัวข้อ “Data Optimization: เปิดโลกเจ้าของธุรกิจสร้างสรรค์ด้วยดาต้าแบบเหนือเมฆ” ที่จัดขึ้นภายใต้เทศกาล ISAN Creative Festival 2025 ณ TCDC ขอนแก่น โดยคุณต่อ ณัฐกรณ์ รัตนชัยสิทธิ์ ผู้ก่อตั้ง Predictive บริษัทที่ปรึกษาด้าน Data-Driven Strategy ได้สร้างความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับดาต้าในเชิงกลยุทธ์ที่ไม่ซับซ้อน แต่ทรงพลัง ชวนเจ้าของกิจการทุกระดับ โดยเฉพาะผู้ประกอบการสร้างสรรค์ ให้เห็นว่าการใช้ดาต้าไม่จำเป็นต้องยาก หากเริ่มต้นจากคำถามที่ใช่เข้าใจดาต้าแบบไม่ต้องเป็น Data Scientistคุณต่อเริ่มต้นด้วยการทำลายความเข้าใจผิดว่า “ดาต้าคือเรื่องของคนไอที” หรือ “ต้องใช้โปรแกรมซับซ้อนเท่านั้นถึงจะได้ insight” ในความเป็นจริง ทุกกิจการมีข้อมูลอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นยอดขาย ลูกค้าที่เดินเข้าร้าน ความถี่ของการซื้อ หรือแม้แต่คำบ่นในคอมเมนต์ คุณต่อแนะนำให้เจ้าของธุรกิจเริ่มจาก “การสังเกต” และตั้งคำถามให้ถูกเขายกตัวอย่างร้านกาแฟเล็ก ๆ ที่เก็บบันทึกการขายด้วยมือทุกวัน พอเอามานั่งเรียงใหม่ กลับพบว่าเมนูหนึ่งขายดีเฉพาะวันศุกร์ และมียอดดีเป็นพิเศษเมื่อฝนตก ทำให้เจ้าของร้านรู้ว่าควรโปรโมทเมนูนี้เฉพาะช่วงเวลาที่เหมาะ ไม่ใช่ยิงโฆษณาทุกวันอย่างที่เคยทำมาData ที่ใช้ได้ ต้องตอบคำถามให้เฉียบคุณต่อแนะว่า ก่อนจะขุดดาต้า ต้องรู้ว่าจะถามอะไร เช่น:ลูกค้าซื้อเพราะอะไร? หรือตอนไหน?ลูกค้าที่เลิกซื้อ หายไปเพราะอะไร?ลูกค้าประจำต่างจากขาจรตรงไหน?เมื่อคำถามชัด คำตอบจากข้อมูลก็จะมีประโยชน์ทันที เขาย้ำว่าไม่จำเป็นต้องเริ่มจาก Big Data แต่เริ่มจาก Smart Data คือข้อมูลเล็ก ๆ ที่เก็บได้จริงและแปลผลได้เลยFramework การใช้ดาต้าแบบ “ง่าย แต่ใช้ได้จริง”คุณต่อแบ่งวิธีคิดเป็น 3 ขั้นตอน:Observe: เก็บข้อมูลแบบง่าย ๆ เช่น นับคนที่เข้าร้าน ช่วงเวลาที่ขายดี หรือเมนูที่ถูกสั่งบ่อยOrganize: จัดหมวดหมู่ข้อมูล เช่น กลุ่มลูกค้า พฤติกรรม หรือวันในสัปดาห์Optimize: ปรับการทำงาน เช่น เปลี่ยนชั่วโมงทำการ เพิ่มสินค้าเฉพาะช่วงที่ขายดี หรือทำโปรโมชันเจาะจงเขาเล่าว่าหลายธุรกิจไม่เคยใช้ดาต้าเลย พอลองแค่เก็บเวลาเข้า-ออกของลูกค้ากลุ่มหลัก ก็สามารถปรับตารางพนักงานได้แม่นยำขึ้น ลดค่าใช้จ่าย และทำให้บริการดีขึ้นในช่วงพีคยิ่งเล็ก ยิ่งต้องแม่น: ดาต้าสำหรับ SMEสปีคเกอร์เน้นว่า สำหรับธุรกิจขนาดเล็ก ดาต้ายิ่งมีความสำคัญ เพราะไม่มีเงินพลาด ไม่มีงบลองผิด เขาแนะนำให้เริ่มจากสิ่งที่อยู่ในมือ เช่น บันทึกยอดขายย้อนหลัง ความเห็นจากลูกค้า และพฤติกรรมในเพจหรือแชท“คุณไม่ต้องเก็บทุกอย่าง แค่เก็บสิ่งที่ใช้ตัดสินใจได้จริง”เขายกเคสของร้านข้าวเหนียวหมูทอดที่สังเกตจากยอดขายรายวัน แล้วพบว่าลูกค้าที่มาซื้อในวันจันทร์มักซื้อ 2 ห่อขึ้นไป เจ้าของร้านจึงเริ่มแจกบัตรสะสมพอยต์เฉพาะวันจันทร์ ทำให้ยอดขายวันต้นสัปดาห์สูงขึ้นทันทีData is People: ข้อมูลคือชีวิต ไม่ใช่แค่ตัวเลขคุณต่อเน้นว่า อย่ามองลูกค้าเป็นกราฟหรือ segment เพียงอย่างเดียว แต่ต้องมองว่า “ข้อมูลทุกจุด คือพฤติกรรมของคนจริง ๆ” การเข้าใจว่าลูกค้าเลือกอะไร บ่นอะไร หรือเปลี่ยนใจเพราะอะไร คือหัวใจของการใช้ดาต้าเพื่อออกแบบประสบการณ์ที่ดีเขาเตือนว่า เจ้าของกิจการที่กลัวดาต้า มักจะอยู่กับ “ความรู้สึก” แต่ไม่สามารถอธิบายเหตุผลได้ เมื่อเจอวิกฤตจึงตัดสินใจได้ช้า หรือผิดทิศ แต่ถ้าใช้ข้อมูลมาเป็นฐานตัดสินใจ จะสามารถ “ขยับให้คม” ได้เร็วและแม่นดาต้าเพื่อเจ้าของกิจการต้องทำอะไรบ้างหยุดมองข้อมูลเป็นเรื่องไกลตัว เริ่มจากสิ่งที่มีอยู่แล้วตั้งคำถามก่อนดูข้อมูล เช่น “ลูกค้าชอบอะไร? ทำไมบางวันขายดี?”เก็บเฉพาะสิ่งที่เอาไปใช้ตัดสินใจได้ใช้ข้อมูลเพื่อออกแบบบริการ ไม่ใช่แค่ดูยอดย้อนหลังอย่ารอระบบครบแบบองค์กรใหญ่ แต่ให้เริ่มจากจุดเล็กที่เราเข้าใจKey Takeaway: ดาต้าไม่ใช่เรื่องเทคนิค แต่คือวิธีเข้าใจลูกค้าและตัดสินใจได้ดีขึ้น ถ้าเจ้าของธุรกิจสามารถตั้งคำถามที่ใช่ เก็บข้อมูลที่จำเป็น และมองข้อมูลอย่างเป็นมนุษย์ ไม่ใช่แค่กราฟหรือรายงาน ดาต้าจะกลายเป็นเพื่อนร่วมทางที่พาธุรกิจไปไกลกว่าที่คิดSession 4 : Michelin-starred Business for Isan Cuisine – คุณเนย์ วิชชุพล เจริญทรัพย์วิทยากร: คุณเนย์ วิชชุพล เจริญทรัพย์ – เจ้าของร้าน NAWA (มิชลิน 1 ดาว)อาหารอีสานไม่ได้อยู่แค่บนโต๊ะไม้หน้าบ้าน หรือในจานโฟมริมทาง หากแต่สามารถถูกเสิร์ฟบนจานกระเบื้องคุณภาพสูง ในห้องอาหารระดับมิชลิน และยังคงสะท้อนวัฒนธรรมของภูมิภาคได้อย่างงดงาม เวที Creative Wisdom Talk โดย ISAN Creative Festival 2025 เชิญคุณเนย์ วิชชุพล เจริญทรัพย์ เจ้าของร้าน NAWA ซึ่งได้รับ 1 ดาวมิชลิน มาแบ่งปันเบื้องหลังการเดินทางที่ผสานความกล้า ความใส่ใจ และความเชื่อมั่นในอัตลักษณ์อีสาน จนกลายเป็นความสำเร็จที่หลายคนมองว่า ‘เป็นไปไม่ได้’เส้นทางจาก 0 สู่ 1 ดาวมิชลิน: ความเชื่อก่อนความชำนาญคุณเนย์เริ่มต้นโดยไม่มีพื้นฐานด้านเชฟ หรือประสบการณ์ในวงการร้านอาหารมาก่อน แต่มีความเชื่อที่แรงกล้าว่า “อาหารอีสานสามารถอยู่ในเวทีระดับโลกได้ โดยไม่ต้องเปลี่ยนตัวเองให้เหมือนใคร” เขาเปิดร้าน NAWA โดยใช้วัตถุดิบพื้นบ้าน ผสานกับเทคนิคการจัดจานและการเล่าเรื่องแบบ Fine Dining ที่เรียบง่ายแต่มีรายละเอียดแรงบันดาลใจของเขามาจากความรู้สึกที่ว่า เวลาคนต่างชาติพูดถึงอาหารไทย มักพูดถึงแค่ต้มยำ ผัดไทย เขาจึงอยากให้คนได้รู้จัก “ความหลากหลายของไทยที่มากกว่านั้น” และเชื่อว่าอีสานคือพื้นที่ที่เต็มไปด้วยวัตถุดิบดี เรื่องราวลึก และรสชาติที่ทรงพลังการออกแบบประสบการณ์: ไม่ใช่แค่รสชาติ แต่อยู่ที่จังหวะและความรู้สึกคุณเนย์เน้นว่า สิ่งที่ทำให้ NAWA แตกต่างไม่ใช่แค่รสชาติ แต่คือ “ประสบการณ์แบบไร้รอยต่อ” ที่ลูกค้ารับรู้ได้ตั้งแต่ก้าวแรก เช่น กลิ่นในห้องอาหาร อุณหภูมิของช้อน ความพร้อมของพนักงาน และการเสิร์ฟที่ทุกจานหันไปในทิศเดียวกัน“ทุกสัมผัสของลูกค้าคือการออกแบบ และเราควรทำให้มันมีความหมาย”เขาเล่าว่า การทำร้านอาหารแบบ Fine Dining ทำให้เขาเข้าใจคำว่า “รายละเอียดคือทุกอย่าง” เพราะลูกค้าไม่ได้แค่มากิน แต่อยากรู้สึกบางอย่างจากประสบการณ์ เช่น ความภูมิใจในท้องถิ่น ความอบอุ่น ความซับซ้อน หรือแม้แต่ความเซอร์ไพรส์มาตรฐานที่มาจากความเข้าใจ ไม่ใช่แค่สูตรหนึ่งในระบบที่คุณเนย์พัฒนาขึ้นคือมาตรฐาน 3 ข้อของทุกจานที่เสิร์ฟในร้าน NAWA:รสชาติไทยแท้ – ต้องมีความเป็นไทยชัดเจน ไม่ลดรสเพื่อให้ถูกปากต่างชาติมี Story ทุกจาน – ต้องรู้ว่าทำไมถึงเลือกวัตถุดิบนี้ ทำไมถึงจัดจานแบบนี้คุณภาพเท่ากันทุกคน – ไม่ว่าลูกค้าจะเป็นใคร วันที่ยุ่งแค่ไหน ทุกจานต้องเท่ากันสิ่งนี้นำไปสู่การฝึกพนักงานแบบละเอียด เช่น การฝึกพูดถึงที่มาของเมนูภายใน 3 ประโยค, การยืนในระยะห่างที่พอดี และการสื่อสารด้วยสายตาและภาษากายอย่างมั่นใจการสร้างทีม: สื่อสารคุณค่าก่อนสอนเทคนิคคุณเนย์เชื่อว่า คนทำงานต้องรู้ว่า “เรากำลังทำอะไรอยู่ และมันสำคัญอย่างไร” มากกว่าการรู้แค่วิธีทำอาหาร เขาเล่าถึงการคัดเลือกทีมงาน โดยมองหาคนที่พร้อมเรียนรู้ และมีความเคารพต่อวัตถุดิบ ต่อท้องถิ่น และต่อแขกที่เข้ามาในร้าน“เราสอนเทคนิคได้ แต่สอนใจที่รักในงานบริการไม่ได้ง่าย”เขายังเล่าถึงระบบ mentor ภายในทีม ที่พนักงานรุ่นพี่จะดูแลรุ่นน้องเสมอ และการให้โอกาสทุกคนเสนอไอเดียได้ในทุกขั้นตอนของการปรุงและเสิร์ฟ เพื่อสร้างวัฒนธรรมองค์กรแบบแนวนอนเชื่อมโยงกับผู้ผลิตท้องถิ่น: การเติบโตที่ยั่งยืนเบื้องหลังอีกด้านของ NAWA คือการเดินทางลงพื้นที่ไปเจอกับเกษตรกรและชุมชนต่าง ๆ ด้วยตัวเอง เช่น หอยจากเพชรบุรี สาหร่ายจากเชียงใหม่ หรือข้าวเหนียวจากยโสธร ที่ต้องผ่านเกณฑ์ทั้งคุณภาพ รสชาติ และความยั่งยืน เขาเชื่อว่าวัตถุดิบมี “วิญญาณ” และร้านอาหารควรเป็นผู้แสดงวิญญาณนั้นออกมาให้ดีที่สุดคุณเนย์เล่าว่า ในหลายกรณี เขาต้องทำความเข้าใจวิธีการทำงานของชาวบ้าน และร่วมกันปรับวิธีเก็บเกี่ยวหรือแปรรูป เพื่อให้เหมาะกับระบบของ NAWA โดยไม่ลดทอนคุณค่าทางวัฒนธรรมการตีความอาหารอีสานใหม่แบบไม่ทิ้งรากคุณเนย์ไม่ได้เปลี่ยนอาหารอีสานให้เป็นฝรั่ง แต่ใช้ความคิดสร้างสรรค์มาขยายความหมายของอาหาร เช่น การทำข้าวจี่เป็นของหวานที่มีชั้นซอสหลายระดับ การออกแบบเครื่องจิ้มให้มี 3 รสที่เปลี่ยนตามลำดับการกิน หรือแม้แต่การทำป้ายเมนูที่กินได้ทั้งหมดเขาเล่าว่าเมนูอย่าง “แกงขี้เหล็ก” กลายเป็นจานที่ลูกค้าชาวต่างชาติประทับใจที่สุด ทั้งที่เป็นอาหารที่บางคนคิดว่าไม่น่ากิน เพราะเขาใช้การเล่าเรื่อง ความตั้งใจ และการตกแต่ง ที่ทำให้ลูกค้ารู้สึก “ฉันกำลังกินวัฒนธรรมของใครบางคนอยู่”บทเรียนจากโลกมิชลิน: ความสมดุลของหัวใจและระบบคุณเนย์บอกว่า การได้มิชลิน 1 ดาวภายใน 9 เดือน ไม่ใช่เป้าหมายตั้งแต่แรก แต่มาจากความตั้งใจที่จะ “ใส่ใจให้สุด” ในทุกอย่าง โดยเฉพาะในจุดที่ลูกค้ามองไม่เห็น เช่น ห้องเก็บไวน์ที่ควบคุมอุณหภูมิได้ระดับองศา หรือการเลือกใช้จานที่มีมุมสะท้อนแสงเฉพาะ เพื่อให้เนื้อสัตว์ดูน่ากินมากขึ้นเขาเชื่อว่าร้านอาหารที่ยั่งยืนต้องมีทั้ง “หัวใจของเจ้าของ” และ “ระบบที่สื่อสารได้โดยไม่ต้องพูด” เพราะลูกค้าไม่ได้ต้องการแค่กินอิ่ม แต่ต้องการความรู้สึกบางอย่างกลับไปเสมอKey Takeaway: คุณเนย์พิสูจน์ว่าอัตลักษณ์ท้องถิ่นไม่ใช่ข้อจำกัด แต่คือ “จุดขาย” ถ้าเรากล้าพอที่จะยืนบนรากของตัวเอง และใส่ใจในรายละเอียดแบบไม่ประนีประนอม เราสามารถสร้างประสบการณ์ระดับโลกได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนตัวเองให้เหมือนใคร_*️⃣ เทศกาลอีสานสร้างสรรค์ 256828 มิ.ย. – 6 ก.ค. 2568ติดตามความเคลื่อนไหวและกิจกรรมที่สนใจได้ที่Website: isancreativefestival.comLine: @isancfFacebook: isancreativefestivalInstagram: @isancreativefestival#ISANCREATIVEFESTIVAL#เทศกาลอีสานสร้างสรรค์ #ISANCF2025#อีสานโชว์พราว
05 ก.ค. BBBB
Design and Creative Talk: เสวนาอุตสาหกรรมออกแบบอีสาน กับอนาคตวงการสร้างสรรค์
Design and Creative Talk: เสวนาอุตสาหกรรมออกแบบอีสาน กับอนาคตวงการสร้างสรรค์ ในยุคที่พรมแดนของการออกแบบไม่ได้จำกัดอยู่เพียงฟังก์ชันหรือความงาม แต่เชื่อมโยงกับวัฒนธรรม เศรษฐกิจ สังคม และตัวตนของพื้นที่ “Design and Creative Talk” ในงาน ISAN Creative Festival 2025 จึงกลายเป็นเวทีสำคัญที่เปิดพื้นที่ให้วงการออกแบบและผู้สนใจจากทั่วประเทศ ได้มาแลกเปลี่ยนมุมมอง ประสบการณ์ และวิธีคิดกับนักออกแบบมืออาชีพจากหลากหลายสาขา ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับนานาชาติ โดยเนื้อหาครอบคลุมตั้งแต่งานออกแบบเชิงอุตสาหกรรม พาวิลเลียนระดับโลก ไปจนถึงงานหัตถกรรมร่วมสมัยที่ปักรากอยู่ในผืนดินอีสาน พร้อมชวนตั้งคำถามใหม่ต่อบทบาทของดีไซน์ในวันนี้และอนาคต Session 1: Wonder of Fabric – งานผลิตแนวอุตสาหกรรมกับการพัฒนาแนวสร้างสรรค์วิทยากร: กฤษณ์ พุฒพิมพ์ – Design Director, DOTS design studio “Design matters. Imagination also matters.”กฤษณ์ พุฒพิมพ์ เปิดเวทีด้วยประสบการณ์จริงจากการทำงานในอุตสาหกรรมสิ่งทอและของตกแต่งบ้าน ผ่านบทบาทผู้ออกแบบที่ต้องเชื่อมทั้งโรงงาน แบรนด์ และผู้บริโภคเข้าด้วยกัน เขาพูดถึงความท้าทายในการทำงานกับแบรนด์ Homeworks ที่แม้จะมีโครงสร้างแบบอุตสาหกรรมชัดเจน แต่ก็เปิดพื้นที่ให้การออกแบบเข้ามาเพิ่มคุณค่าได้สิ่งสำคัญคือการเปลี่ยน mindset จากการผลิต “เพื่อตอบสนอง” ไปสู่การผลิต “เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ” ไม่ใช่แค่ขายได้ แต่ต้องมี narrative และมีความรู้สึก โดยเฉพาะเมื่อผู้บริโภคยุคใหม่ให้ความสำคัญกับความหมายของวัตถุมากกว่าฟังก์ชันเพียงอย่างเดียวการทำงานกับผ้าไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิคหรือสี แต่เกี่ยวข้องกับการตีความวัฒนธรรม สภาพอากาศ วิถีชีวิต และการจัดวางบริบทที่เหมาะสม สีที่ขายดีในกรุงเทพฯ อาจไม่ได้รับความนิยมในอุดรธานี หรือแม้แต่รูปทรงและลายผ้าก็มีนัยทางวัฒนธรรมที่แตกต่างกันเขาเสนอว่านักออกแบบต้องไม่ทำหน้าที่เพียง “เติมความสวย” ให้กับกระบวนการผลิต แต่อยู่ในฐานะผู้ตั้งคำถามและค้นหาความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ให้กับระบบเดิม เช่น การเปลี่ยนมุมมองของโรงงานให้มองผ้าเป็นพื้นที่แสดงออก ไม่ใช่เพียงพื้นผิวหนึ่งเท่านั้นโดยแนวทางที่เน้นย้ำ ได้แก่:Think Global / Act Local – เข้าใจภาพรวมโลก แต่ลงมือออกแบบกับสิ่งแวดล้อมรอบตัวMake it with Passion – ความเชื่อและความรักในสิ่งที่ทำยังสำคัญเสมอInspired and Be Inspiring – การออกแบบที่ดีควรจุดประกายทั้งตัวเราและผู้อื่น“เราอาจไม่ได้ต้องการของสวยที่สุดในโลก แต่เราต้องการของที่เรารู้สึกดีด้วยที่สุดในชีวิตประจำวัน”Key Takeaway: อุตสาหกรรมสิ่งทอหรือของแต่งบ้านไม่ควรถูกมองว่าอยู่คนละโลกกับการออกแบบ ในทางกลับกัน หากนักออกแบบเข้าใจระบบการผลิต และโรงงานเปิดรับแนวคิดสร้างสรรค์มากขึ้น เมื่อนั้น ‘ความงาม’ และ ‘การใช้ประโยชน์’ จะมาเจอกันได้อย่างมีความหมายSession 2: Wonder of Creativities – พลังของความคิดสร้างสรรค์ผ่านมุมของนักออกแบบวิทยากร: ทวีชัย สิริกุลธาดา – Managing Director, Gold House Décor“คำว่า ‘ความคิดสร้างสรรค์’ ไม่ใช่เรื่องของจินตนาการลอย ๆ แต่คือทักษะในการมองสิ่งเดิมให้ต่างออกไป และสร้างสิ่งใหม่ที่ตอบโจทย์ชีวิตจริง”การเปลี่ยนผ่านจากยุคที่ “ดีไซน์คือความสวยงาม” ไปสู่ยุคที่ “ดีไซน์คือการแก้ปัญหา” กลายเป็นเรื่องสำคัญในบริบทของการออกแบบร่วมสมัย ไม่ว่าจะอยู่ในกรุงเทพฯ หรือต่างจังหวัด โดยเฉพาะในพื้นที่อย่างอีสานที่เต็มไปด้วยภูมิปัญญาและวัฒนธรรมที่มีศักยภาพแปรเปลี่ยนสู่โอกาสใหม่ความคิดสร้างสรรค์ไม่ได้เกิดจากความโดดเดี่ยว แต่ต้องอยู่ในระบบของการสังเกต ฟัง และเชื่อมโยง รากวัฒนธรรม งานหัตถกรรม ผ้า สถาปัตยกรรม และวัสดุท้องถิ่น ล้วนเป็นทุนที่ดีเยี่ยม หากได้รับการตีความใหม่ให้เข้ากับโลกปัจจุบันแนวคิด “Creative Layering” หรือการซ้อนทับชั้นของวัฒนธรรม ภูมิปัญญา และเทคโนโลยี จึงเป็นเครื่องมือสำคัญ เช่น การใช้ผ้าไหมกับงานเฟอร์นิเจอร์ร่วมสมัย หรือการนำลวดลายดั้งเดิมไปวางบนวัสดุใหม่ เพื่อให้เกิดความร่วมสมัยโดยไม่ทิ้งราก“งานออกแบบที่ดี ต้องตีความท้องถิ่นใหม่ โดยไม่ทำลายของเดิม” เขาเล่าถึงประสบการณ์การออกแบบโปรเจกต์หลายแห่งในภาคอีสาน ซึ่งต้องทำงานใกล้ชิดกับทั้งเจ้าของกิจการ ช่างฝีมือท้องถิ่น และลูกค้าระดับสากล ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนความเข้าใจระหว่างภาษาแบบดั้งเดิมกับภาษาการออกแบบสมัยใหม่อยู่ตลอดเวลา นักออกแบบจึงต้องเป็นผู้แปลความ ไม่ใช่เพียงนักสร้างสรรค์อย่างเดียวอีกสิ่งที่เขาย้ำคือ การให้เวลากับการทำความเข้าใจ “ตัวตนของพื้นที่” เพราะบางครั้งโจทย์อาจดูคล้ายกัน เช่น รีสอร์ต วัด ร้านอาหาร หรือบ้าน แต่รายละเอียดของผู้ใช้ วัสดุ สภาพอากาศ และจังหวะชีวิตในพื้นที่นั้น ไม่เคยเหมือนกันเลย งานออกแบบที่ลอกต้นแบบหรือใช้วิธี copy-paste จึงไม่เคยยั่งยืนKey Takeaway: นักออกแบบอีสานมีทรัพยากรทางวัฒนธรรมมากมายอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ต้องพัฒนาเพิ่มคือมุมมองใหม่ การตีความร่วมสมัย และความกล้าทดลองในเชิงวัตถุและความคิด การออกแบบที่ดีจะไม่ใช่แค่เรื่องสุนทรียะ แต่คือกลยุทธ์การสื่อสารที่เชื่อมระหว่างอดีต ปัจจุบัน และอนาคตเข้าด้วยกันSession 3: Thailand Pavilion – อัตลักษณ์และอนาคตในภาษาสากลวิทยากร: ณรงค์วิทย์ อารีมิตร – รองกรรมการผู้จัดการ, Architects 49 Limited“การออกแบบสถาปัตยกรรมสำหรับเวทีโลก คือการเล่าเรื่องชาติผ่านโครงสร้างที่สัมผัสได้จริง”Thailand Pavilion ในงาน World Expo ไม่ใช่แค่ ‘บูธ’ ของประเทศ แต่คือการออกแบบประสบการณ์ที่จะส่งเสียงถึงคนทั้งโลก โจทย์ไม่ง่าย เพราะการนำเสนออัตลักษณ์ไทยต้องไม่ติดอยู่กับภาพจำเดิม ๆ แต่ต้องกลั่นออกมาให้กลายเป็นสถาปัตยกรรมที่ทั้งร่วมสมัย สื่อสารได้ และมีมิติด้านเทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อมควบคู่กันการออกแบบเน้น “ประสบการณ์เดิน” ผ่านโครงสร้าง การใช้แสง การเคลื่อนไหว และระบบภาพยนตร์ ที่ทำให้ผู้ชมได้สัมผัส ‘ไทย’ โดยไม่ต้องมีคำบรรยายมากมาย แนวคิดเหล่านี้ยังสามารถเชื่อมโยงกลับมาสู่บริบทของเมืองอีสาน เช่น ขอนแก่น หรืออุบลราชธานี หากมีการออกแบบพื้นที่สาธารณะหรืออาคารใหม่ ๆ ที่ไม่เพียงแค่ใช้งานได้ แต่สามารถเล่าเรื่องตัวตนของเมืองผ่านประสบการณ์เชิงพื้นที่ได้ด้วย ในอีกมิติหนึ่ง แนวคิดเบื้องหลังการออกแบบพาวิลเลียน คือการทำงานร่วมกับหลากหลายภาคส่วน ตั้งแต่ภาครัฐ ภาคเอกชน จนถึงภาควิชาการ เพื่อให้เกิดองค์ความรู้ใหม่จากการทำงานร่วมกันที่ไม่จำกัดอยู่แค่ในสายอาชีพของสถาปนิก และเปิดให้เกิดบทสนทนาระหว่างวัฒนธรรมและผู้ใช้งานในอนาคตได้จริงเขายังเน้นย้ำความสำคัญของการออกแบบเชิงองค์รวม ที่ครอบคลุมตั้งแต่การจัดการโครงสร้างกายภาพ ระบบสื่อสาร การควบคุมแสง เสียง อุณหภูมิ ไปจนถึงกระบวนการเข้าใช้งานของผู้ชม ซึ่งทั้งหมดต้องทำงานประสานกันอย่างไร้รอยต่อ เพื่อให้ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นมีพลังในการจดจำ ทั้งต่อความรู้สึกและภาพลักษณ์ของประเทศ“เราไม่ได้นำเสนอความเป็นไทยในเชิงสัญลักษณ์ แต่พาเขาเดินผ่านโครงสร้างที่เล่าเรื่องไทยได้โดยไม่ต้องพูด”Key Takeaway: สถาปัตยกรรมเป็นเครื่องมือสำคัญในการสื่อสารอัตลักษณ์และจุดยืนของประเทศบนเวทีโลก หากสามารถแปลงความเป็นท้องถิ่นให้กลายเป็นประสบการณ์สากลที่จับต้องได้ จะยิ่งตอกย้ำบทบาทของนักออกแบบไทยในระดับนานาชาติ และขยายความหมายของคำว่า “ไทย” ให้ร่วมสมัยโดยไม่สูญเสียรากSession 4: Rewoven Reroot – รากอีสานสู่สากลและอนาคตวิทยากร: จิรพรรณ โตคีรี – Designer Director & Founder, TOUCHABLE“การออกแบบที่ดีต้องทำให้คนรู้สึกว่า ‘นี่แหละฉัน’ ในสิ่งที่ได้สัมผัส”การเดินทางของแบรนด์ TOUCHABLE เริ่มจากการผลิตเฟอร์นิเจอร์แบบ customize จนขยายสู่การผลิตของตกแต่งและแบรนด์ไลฟ์สไตล์ ที่ยังคงยึดโยงกับการใช้วัสดุเหลือใช้ เช่น เศษไม้ เศษผ้า หนัง หรือวัสดุที่มีเรื่องราวในตัวเอง จุดเด่นอยู่ที่การออกแบบที่สะท้อนบริบทและภูมิภาค ผ่านการร่วมงานกับช่างฝีมือท้องถิ่นที่หลากหลายการยึด ‘ราก’ ไม่ได้แปลว่าต้องย้อนยุค แต่คือการนำคุณค่าเดิมมาตีความใหม่ให้ร่วมสมัย โดยไม่สูญเสียอัตลักษณ์ เช่น การนำลายผ้าไทยโบราณมาวางบนวัสดุใหม่ หรือการสร้างสินค้าจากเรื่องราวของท้องถิ่นที่คนทั่วโลกรู้สึก connect ได้TOUCHABLE ยังให้ความสำคัญกับความรู้สึกของผู้ใช้ พวกเขาเชื่อว่าสินค้าหนึ่งชิ้นจะมีคุณค่ามากขึ้นเมื่อมีคน ‘รู้สึกกับมัน’ ไม่ว่าจะเป็นผ่านพื้นผิว วัสดุ กลิ่น หรือความทรงจำ การออกแบบที่ดีจึงไม่ใช่เพียงสวย แต่ต้องให้ความรู้สึกว่านี่คือ “ฉันในแบบที่ฉันเลือกสัมผัส”แนวคิดสำคัญอีกประการคือ “การขยายราก” มากกว่าการ “กลับไปสู่รากเดิม” เพราะรากวัฒนธรรมของอีสานในปัจจุบันไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในพื้นที่กายภาพเท่านั้น แต่ยังขยายไปสู่ผู้คนที่ย้ายถิ่น การใช้ชีวิตในเมือง หรือแม้กระทั่งการออกแบบร่วมกับผู้ใช้จากบริบทที่ต่างออกไป เธอเสนอว่าความร่วมสมัยจึงไม่ใช่การประนีประนอม แต่คือการเลือกโดยตั้งอยู่บนความเข้าใจเชิงลึกของทั้งสองฝ่ายเธอยังเน้นว่าการทำงานร่วมกับชุมชนต้องอยู่บนพื้นฐานของความสัมพันธ์ระยะยาว ไม่ใช่เพียงการเข้าพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูล แต่ต้องสร้างระบบที่ทำให้คนในชุมชนรู้สึกเป็นเจ้าของ และสามารถเติบโตไปพร้อมกับนักออกแบบได้จริง พร้อมยกตัวอย่างการพัฒนากระบวนการผลิตบางชนิด ที่เกิดขึ้นจากการทดลองร่วมกันระหว่างทีมออกแบบและช่างฝีมือ จนกลายเป็นเทคนิคเฉพาะที่ไม่มีในตำรา “We don’t just design products, we design experience.”Key Takeaway: รากอีสานไม่ใช่สิ่งที่ต้องรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์ แต่เป็นทรัพยากรที่สามารถพลิกแพลงและเล่าเรื่องในเวทีโลกได้อย่างน่าสนใจ หากนักออกแบบสามารถยืนอยู่บนความเข้าใจในท้องถิ่น ขณะเดียวกันก็มองออกไปข้างนอกอย่างสร้างสรรค์ เมื่อนั้นอีสานจะไม่ใช่แค่ที่มา แต่เป็นแรงบันดาลใจระดับสากล เทศกาลอีสานสร้างสรรค์ 256828 มิ.ย. – 6 ก.ค. 2568ติดตามความเคลื่อนไหวและกิจกรรมที่สนใจได้ที่Website: isancreativefestival.comLine: @isancfFacebook: isancreativefestivalInstagram: @isancreativefestival #ISANCREATIVEFESTIVAL#เทศกาลอีสานสร้างสรรค์ #ISANCF2025#อีสานโชว์พราว
04 ก.ค. BBBB
‘LONG STAY’ โอกาสใหม่ของเมืองขอนแก่นและอีสาน จุดหมายใหม่ที่ใครก็อยากจะมา ‘ลองอยู่’
‘LONG STAY’ โอกาสใหม่ของเมืองขอนแก่นและอีสาน จุดหมายใหม่ที่ใครก็อยากจะมา ‘ลองอยู่’“เมื่อเมืองท่องเที่ยวต้องไม่หยุดอยู่แค่การต้อนรับผู้มาเยือน แต่ต้องคิดไกลถึงการเปลี่ยนพวกเขาให้กลายเป็นคนที่รักเมือง เป็นผู้สนับสนุน หรือแม้กระทั่งเป็นผู้อยู่อาศัย” เสวนา LONG STAY Talk หัวข้อ: ยุทธศาสตร์การเปลี่ยนผู้มาเยือนให้เป็น “ผู้สนับสนุน” และผู้อยู่อาศัย วิทยากร: ผศ.ดร.ณัฐพงษ์ พันธ์น้อย รองผู้อำนวยการ Center of Excellence in Social Design จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย“นักท่องเที่ยวจะอยู่นานขึ้นได้อย่างไร และจะกลายเป็น ‘ผู้มีส่วนร่วม’ กับเมืองมากกว่าแค่ผู้มาเยือนได้หรือไม่?” คือคำถามสำคัญที่ ผศ.ดร.ณัฐพงษ์ พันธ์น้อย หรือ อ.อั๋น ชวนผู้ฟังในเวทีเสวนานี้ขบคิดร่วมกัน พร้อมชวนมองบทบาทใหม่ของเมืองที่ไม่ได้แค่ “รับ” นักท่องเที่ยว แต่ต้อง “เล่าเรื่อง-ออกแบบประสบการณ์-เปิดโอกาสให้กลับมาอีก”ในการบรรยาย ดร.ณัฐพงษ์ อธิบายว่า คำว่า “Long Stay” มีนิยามกว้างกว่าที่คิด ไม่ได้หมายถึงการอยู่เป็นเดือนหรือเป็นปีเท่านั้น แต่อาจเริ่มต้นแค่การ “อยู่นานขึ้น” จากเดิม 2–3 วัน เป็น 7–10 วัน โดยเน้นย้ำว่า “การจะให้คนอยู่ต่อ ต้องมีเหตุผล และต้องมีเงื่อนไขรองรับ” เช่น ความปลอดภัย คุณภาพชีวิต การเดินทาง หรือการเข้าถึงบริการสาธารณะบางประเภทยกตัวอย่างกลุ่มผู้สูงวัยจากญี่ปุ่นที่เลือกมาอยู่ไทยระยะยาว เพราะชื่นชอบอากาศ อาหาร วัฒนธรรม และค่าครองชีพที่เอื้อต่อการใช้ชีวิต การมอง Long Stay จึงไม่ควรจำกัดที่ภาคการท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ควรผนวกเข้ากับระบบเศรษฐกิจและโครงสร้างสังคม เช่น การอยู่อาศัยระยะยาวแบบไม่ย้ายสัญชาติ การรับบริการสุขภาพ การทำงานทางไกล ฯลฯแนวคิดที่สำคัญคือ การเปลี่ยนจาก “นักท่องเที่ยว” เป็น “ผู้สนับสนุน” (Supporter) ซึ่งไม่จำเป็นต้องย้ายมาอยู่ถาวร แต่หมายถึงคนที่รู้สึกผูกพันกับเมือง และมีส่วนร่วมกับการพัฒนาเมืองในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง เช่น การกลับมาใช้บริการซ้ำ การพูดถึงเมืองในทางบวก หรือแม้กระทั่งการลงทุนการจะทำให้เกิด Long Stay จำเป็นต้องมี “ตัวแปรร่วม” ระหว่างภาครัฐ เอกชน และคนในเมือง เพื่อสร้างระบบที่เปิดรับคนกลุ่มใหม่ในแบบที่เมืองก็ได้ประโยชน์ และผู้มาอยู่ก็รู้สึกมีคุณภาพชีวิตที่ดี ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่า “Long Stay ไม่ใช่ทางลัด” แต่คือการสร้างกลไกระยะยาวที่ต้องออกแบบอย่างรอบคอบผศ.ดร.ณัฐพงษ์ ยังเสนอกรอบ “ผู้มาเยือน 4 แบบ” ได้แก่ มาเพื่ออยู่นาน, มาเพื่อรักษา, มาเพื่อทำงาน, และมาเพื่อใช้ชีวิต โดยทั้งหมดนี้ต้องอาศัยเงื่อนไขของเมืองที่มากกว่าการเป็นแค่ปลายทางท่องเที่ยว เช่น ความเป็นมิตรของเมือง ระบบวีซ่าที่ยืดหยุ่น โครงสร้างพื้นฐานที่รองรับชีวิตระยะยาว“การอยู่ ไม่ได้แปลว่าต้องย้ายมาอยู่ถาวร แต่อยู่แล้วรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของเมือง และอยากกลับมาอีก”Key Takeaway: เมืองที่ต้องการเป็นจุดหมายปลายทางของ Long Stay ควรสร้างโครงสร้างเชิงระบบเพื่อรองรับการใช้ชีวิตระยะยาวอย่างรอบด้าน โดยไม่จำกัดอยู่แค่การท่องเที่ยว แต่ต้องคิดเชิงสังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และคุณภาพชีวิต เพื่อเปลี่ยนนักเดินทางให้เป็น “ผู้ผูกพันกับเมือง” อย่างแท้จริง** เมืองที่จะเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต ต้องสร้างเงื่อนไขให้ผู้มาเยือนกลายเป็นผู้มีส่วนร่วม ด้วยการออกแบบประสบการณ์ที่ลึกและเชื่อมโยงกับวิถีชีวิตท้องถิ่น และต้องมียุทธศาสตร์ที่เชื่อมโยงระหว่างนโยบาย วัฒนธรรมท้องถิ่น และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเลือกกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสม เช่น ผู้สูงอายุที่ยังแอคทีฟ หรือกลุ่มที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจ เสวนา LONG STAY หัวข้อ: ศักยภาพของอีสานสู่การเป็นจุดหมายใหม่ที่ใครก็อยากมา “ลองอยู่” วิทยากร: Xiaokun GaoCountry Manager – Sanook / Image Future (Thailand) / Tencent อีสานในสายตา Tencent ไม่ได้เป็นเพียงเมืองรอง แต่กำลังกลายเป็นเมืองหลักของอนาคต คุณ Xiaokun Gao ผู้บริหารจาก Tencent กล่าวถึงประสบการณ์การทำงานและการใช้ชีวิตในเมืองไทย โดยเฉพาะอีสานผ่านมุมมองของผู้บริหารบริษัทเทคโนโลยีที่ต้องวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคจากจีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตลอดเวลาเขาเน้นย้ำว่า ปัจจัยอย่างค่าครองชีพ ความปลอดภัย และความสงบของเมืองอีสาน เป็นสิ่งที่ชาวจีนจำนวนไม่น้อยให้ความสำคัญ โดยเฉพาะกลุ่มครอบครัว นักธุรกิจรุ่นใหม่ หรือผู้ที่มารับบริการทางการแพทย์ (Medical Stays) ความเรียบง่ายของอีสานเป็นเสน่ห์สำคัญที่ผู้คนแสวงหา เพราะให้ความรู้สึกปลอดภัย ผ่อนคลาย และไม่เร่งรีบ ในขณะเดียวกัน เขายังได้พูดถึง “Don’t” ที่เมืองอีสานควรหลีกเลี่ยง หากต้องการดึงดูดชาวจีน หนึ่งในนั้นคือ “ความรู้สึกไม่ปลอดภัย” โดยเฉพาะในมิติที่อาจมองไม่เห็นซึ่งอาจสร้างความรู้สึกเสี่ยงโดยไม่จำเป็น ดังนั้นการจัดการภาพลักษณ์เมือง และการสื่อสารเชิงบวกเกี่ยวกับความปลอดภัย จึงเป็นหัวใจสำคัญนอกจากนี้ เขายังยกตัวอย่างแบรนด์ไทยที่ได้รับความนิยมในหมู่ผู้บริโภคจีน เช่น เครื่องสำอาง “มิสทีน” (Mistine) และน้ำมะพร้าวแบรนด์ “If” ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของไทยในการสร้างภาพลักษณ์ของสินค้าและวัฒนธรรมที่เข้าถึงได้ โดยเฉพาะเมื่อผสานเข้ากับประสบการณ์ท้องถิ่น เช่น การท่องเที่ยวแบบมีสุขภาพ หรือการได้สัมผัสอาหารไทยแท้แบบต้นตำรับเขาเน้นว่าอีสานควรใช้จุดแข็งของงานเทศกาลต่าง ๆ เช่น สงกรานต์ หรือประเพณีท้องถิ่นในการดึงดูดนักท่องเที่ยวจีน เพราะคนจีนชื่นชอบเทศกาล สนใจการมีส่วนร่วมกับกิจกรรมที่มีสีสัน มีความหมาย และสามารถแบ่งปันภาพความทรงจำเหล่านี้บนแพลตฟอร์มออนไลน์เขาเสนอว่าสิ่งสำคัญคือการทำให้อีสานมีโครงสร้างทางวัฒนธรรมที่ชัดเจนและพร้อมต้อนรับ ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบประสบการณ์ผู้ใช้ (UX), การใช้เครื่องมือสื่อสารออนไลน์ เช่น WeChat, หรือการจัดกิจกรรมสร้าง Community ที่ช่วยให้เกิดความคุ้นเคยเขายังพูดถึงข้อจำกัดด้านโครงสร้างการเดินทางระหว่างประเทศ โดยเฉพาะเส้นทางบินจากจีนมายังอีสานที่ยังไม่สะดวกนัก ผู้โดยสารต้องเปลี่ยนเครื่องหลายต่อ (connecting flight) ซึ่งกลายเป็นอุปสรรคต่อกลุ่มครอบครัวหรือผู้สูงวัยที่ต้องการความสะดวก จึงเสนอว่าควรพิจารณาเริ่มจากการเจาะตลาดจีนตอนใต้ เช่น กวางตุ้ง กวางสี ยูนนาน ซึ่งอยู่ใกล้และเดินทางได้ง่ายกว่านครปักกิ่งหรือเซี่ยงไฮ้“You don’t need to build a new city. You just need to show how livable this one already is.”(เมืองไม่จำเป็นต้องสร้างใหม่ แค่แสดงให้เห็นว่าน่าอยู่แค่ไหนก็พอ)Key Takeaway: หากอีสานต้องการเป็นจุดหมายใหม่สำหรับชาวจีนและเอเชียตะวันออก เมืองจำเป็นต้องมี “โครงสร้างทางวัฒนธรรม” ที่รองรับการใช้ชีวิต ไม่ใช่แค่การท่องเที่ยว ต้องผสมผสานความเป็นท้องถิ่นเข้ากับบริการระดับสากล และใช้เครื่องมือดิจิทัลในการสร้างความไว้วางใจ เช่น การสื่อสารด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย ช่องทางออนไลน์ที่คุ้นเคยกับกลุ่มเป้าหมาย และการสร้างวงจรประสบการณ์ที่ทำให้เกิดความประทับใจตั้งแต่วันแรกจนถึงวันกลับ พร้อมลดภาพลักษณ์ของความไม่ปลอดภัยที่อาจเป็นอุปสรรคสำคัญ รวมถึงการเชื่อมโยงเทศกาล วัฒนธรรมท้องถิ่น และสินค้าไทยให้กลายเป็นแรงดึงดูดที่ทรงพลัง** หากอีสานต้องการเป็นจุดหมายใหม่สำหรับชาวจีนและเอเชียตะวันออก เมืองจำเป็นต้องมี “โครงสร้างทางวัฒนธรรม” ที่รองรับการใช้ชีวิต ไม่ใช่แค่การท่องเที่ยว ต้องผสมผสานความเป็นท้องถิ่นเข้ากับบริการระดับสากล และใช้เครื่องมือดิจิทัลในการสร้างความไว้วางใจ เช่น การสื่อสารด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย ช่องทางออนไลน์ที่คุ้นเคยกับกลุ่มเป้าหมาย และการสร้างวงจรประสบการณ์ที่ทำให้เกิดความประทับใจตั้งแต่วันแรกจนถึงวันกลับ พร้อมลดภาพลักษณ์ของความไม่ปลอดภัยที่อาจเป็นอุปสรรคสำคัญเสวนา LONG STAY หัวข้อ: “ลอง Stay” Khon Kaen New Destination วิทยากร: คุณธนัฏฐา โกสีหเดช และคุณภิรญา รวงผึ้งทองผู้ก่อตั้ง The Contextual (ที่ปรึกษาด้าน Service Design และ UX Research)เมื่อ CEA ต้องการขับเคลื่อนขอนแก่นให้กลายเป็นเมืองแห่งการพำนักระยะยาว ทีม The Contextual จึงถูกชวนมาออกแบบประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ Long Stay ตั้งแต่จุดแรกที่มาถึงโรงแรมเสวนาช่วงสุดท้ายของเวที Long Stay Talk วางเป้าหมายอย่างชัดเจนว่าจะไม่พูดเรื่อง “ไอเดีย” อย่างลอย ๆ แต่จะลงมือออกแบบบริการจริงในโรงแรมเมืองขอนแก่น ที่ตอบโจทย์ “การอยู่นานขึ้น” และทำให้ผู้มาเยือนได้ใช้ชีวิตในเมืองอย่างแท้จริงคุณธนัฏฐาและคุณภิรญา เริ่มจากการอธิบายกระบวนการเก็บข้อมูลและทำวิจัยภาคสนามกับผู้เข้าพักโรงแรม โรงพยาบาล ผู้ประกอบการ และกลุ่มเป้าหมาย 5 กลุ่มหลัก ได้แก่ ดิจิทัลโนแมด (Digital Nomads), กลุ่มทำงานจากที่ไหนก็ได้ (Work from Anywhere), กลุ่มพักฟื้นหรือรักษาตัว (Medical Stay), นักท่องเที่ยวสายกีฬา (Sport Tourism), และนักเดินทางระยะยาว (Long-term Travelers)Insight สำคัญที่พบคือ คนกลุ่มนี้ “ไม่ต้องการความหรูหรา” แต่ต้องการ “ความสะดวก ความปลอดภัย ความยืดหยุ่น และความสัมพันธ์ที่เป็นมิตร” เช่น อยากมีครัว อยากมีคนท้องถิ่นแนะนำพื้นที่ อยากพาน้องหมามาพักด้วย อยากได้อาหารเช้าที่กินได้ก่อนตีห้า หรืออยากรู้ว่าจะไปหาหมอหรือไปสนามกอล์ฟได้ยังไงจากการพูดคุยกับโรงแรมหลายแห่ง พบว่าโรงแรมมีศักยภาพในการปรับตัวมากกว่าที่คิด เพียงแต่ยังขาดมุมมองใหม่ ๆ ในการมองผู้เข้าพักว่าเป็นมากกว่าแขก แต่คือ “ผู้อยู่อาศัยชั่วคราว” ซึ่งควรมีระบบบริการที่สร้างความรู้สึกเป็นเจ้าบ้านให้กับผู้มาเยือนThe Contextual จึงออกแบบบริการต้นแบบ 10 รายการที่สามารถนำไปทดลองใช้จริงได้ทันที โดยมีโจทย์หลักคือ “ใช้อุปกรณ์เดิม ใช้พื้นที่เดิม แต่ให้ประสบการณ์ใหม่” เช่น:Workplace Pass & Space: เปลี่ยนล็อบบี้และสวนของโรงแรมเป็นพื้นที่ทำงานได้จริง พร้อม Wi-Fi และปลั๊กEarly Brekkie: อาหารเช้าที่เสิร์ฟเร็วตั้งแต่ตี 4–5 สำหรับนักกีฬา ผู้ป่วย หรือคนที่มีธุระเช้าGroup Activity Space: พื้นที่จัดกิจกรรมกลุ่ม เช่น เล่นโยคะ ดูหนัง พูดคุย ทำอาหารDoor-to-Clinic Service: บริการพาไปโรงพยาบาลใกล้เคียง พร้อมข้อมูลเบื้องต้นและอุปกรณ์ดูแลLocal Buddy: พนักงานโรงแรมที่ถูกเทรนให้แนะนำเมือง พาเที่ยว หรือตอบคำถามในแบบเพื่อนHealing Garden: สวนเล็ก ๆ ที่ให้คนได้อยู่กับธรรมชาติ ทำสมาธิ ปลูกผัก หรือผ่อนคลายMedical Stay Suite: ห้องพักที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยหรือผู้สูงวัย มีอุปกรณ์ช่วยเหลือและพื้นที่โล่งExercise Facilities: ยืมอุปกรณ์ออกกำลังกาย เช่น เสื่อโยคะ ดัมเบลล์ หรือพาไปวิ่งในเมืองNetworking Program: จัดกิจกรรมพบปะของผู้เข้าพัก เช่น เวิร์กช็อปหรือมื้อค่ำแบบ informalPet-friendly Room: ห้องที่ต้อนรับสัตว์เลี้ยง พร้อมของใช้พื้นฐานและข้อมูลบริการสัตว์ในพื้นที่นอกจากโรงแรม ยังมีกรณีศึกษาของธุรกิจในพื้นที่ เช่น กลุ่มสปา ร้านอาหารคลีน หรือคาเฟ่ ที่มีศักยภาพจะเชื่อมกับระบบ Long Stay ได้ เช่น การจัดอาหารฟื้นฟูหลังผ่าตัด การเชื่อมโยงบริการ delivery กับที่พัก หรือแม้กระทั่งการรวมบริการหลายแห่งเป็นแพ็กเกจสุขภาพในท้องถิ่นเดียวกัน“ลอง Stay คือการออกแบบบริการที่ทำให้คนไม่รู้จักเมืองนี้…อยากอยู่นานขึ้น และรู้สึกว่าเขาใช้ชีวิตที่นี่ได้”Key Takeaway: การออกแบบประสบการณ์สำหรับ Long Stay ไม่ใช่การคิดใหม่จากศูนย์ แต่คือการมองสิ่งที่มีอยู่ให้ลึกขึ้น แล้วจัดระบบใหม่ให้ชีวิตของผู้มาเยือน “ราบรื่น” และมีคุณภาพ ขอนแก่นมีทุกอย่างที่จำเป็นอยู่แล้ว เหลือแค่ต้องเล่าเรื่องใหม่ สร้างระบบบริการที่เชื่อมต่อ และเปิดใจของเจ้าบ้านให้กว้างขึ้น** เมืองขอนแก่นมีศักยภาพที่จะเป็นต้นแบบเมืองพำนักของอนาคต หากสามารถออกแบบบริการให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์เฉพาะกลุ่ม และสร้างความร่วมมือระหว่างรัฐ เอกชน และผู้ประกอบการท้องถิ่น เพื่อเปลี่ยนการพักแค่ชั่วคราว ให้กลายเป็นการ “อยู่ต่อ” แบบยั่งยืน ทั้งในเชิงเศรษฐกิจ ความผูกพัน และการมีส่วนร่วมกับเมือง โดยเฉพาะหากสามารถยกระดับบริการให้เกิดประสบการณ์แบบไร้รอยต่อ (Seamless Experience) และสร้างภาพจำใหม่ให้กับเมืองผ่านการเล่าเรื่องที่มีชีวิตเทศกาลอีสานสร้างสรรค์ 256828 มิ.ย. – 6 ก.ค. 2568ติดตามความเคลื่อนไหวและกิจกรรมที่สนใจได้ที่Website: isancreativefestival.comLine: @isancfFacebook: isancreativefestivalInstagram: @isancreativefestival #ISANCREATIVEFESTIVAL#เทศกาลอีสานสร้างสรรค์ #ISANCF2025#อีสานโชว์พราว
04 ก.ค. BBBB
4 Venue Stories 4 พื้นที่ 4 ตัวตน 4 พลังสร้างเมือง
4 Venue Stories l 4 พื้นที่ 4 ตัวตน 4 พลังสร้างเมืองเรื่องราวเชิงลึกของสถานที่จัดงานเทศกาลอีสานสร้างสรรค์ 2568 หรือ ISAN CREATIVE FESTIVAL 2025 เมืองจะสร้างสรรค์ได้อย่างไร ถ้าไม่มีพื้นที่ให้ไอเดียได้เติบโต?เทศกาลอีสานสร้างสรรค์ หรือ ISANCF แพลตฟอร์มธุรกิจสร้างสรรค์ที่จัดขึ้นในรูปแบบเทศกาล ชวนผู้คนมองโอกาสทางธุรกิจผ่านเลเยอร์พื้นที่ “เมือง” ด้วยการเปิด 4 พื้นที่ให้กลายเป็นเวทีของความคิดสร้างสรรค์ แต่ละพื้นที่ไม่ใช่แค่โลเคชั่นจัดงาน หากแต่เป็น “เรื่องเล่า” ของอีสานแต่ละมิติ ตั้งแต่รากชุมชน ย่านนักศึกษา สตูดิโอศิลปิน จนถึงโรงแรมระดับนานาชาติ ทั้งหมดนี้คือ “พื้นที่แห่งความพราว” ที่กำลังจะเปล่งประกายในเทศกาลฯ ปีนี้TCDC ขอนแก่น หรือ ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ ขอนแก่น โรงแรมพูลแมน ขอนแก่น ชุมชนสร้างสรรค์โคลัมโบ ชุมชนสาวะถีTCDC Khon Kaen: จุดเริ่มต้นโอกาสธุรกิจสร้างสรรค์ในอีสาน TCDC ขอนแก่น เปรียบเสมือนหัวใจที่ขับเคลื่อนความคิดสร้างสรรค์และเป็นหัวจ่ายของแรงบันดาลใจอีสาน ตั้งอยู่ในย่านกังสดาล ซึ่งเต็มไปด้วยพลังจากสถานศึกษาและวิถีชีวิตที่ไม่หยุดนิ่ง ที่นี่คุณจะเห็นคาเฟ่กลายเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนไอเดีย ร้านปริ้นต์กลายเป็นสตูดิโอขนาดย่อม และนักศึกษากลายเป็นผู้สร้างอนาคตที่พร้อมเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมสร้างสรรค์TCDC ขอนแก่น ไม่ได้เป็นเพียงสถานที่ที่ถูกระบุในแผนที่สำคัญของงานนิทรรศการ โปรเจกต์ หรือสัมมนาธุรกิจสร้างสรรค์ต่าง ๆ เท่านั้น แต่ยังเป็นพื้นที่สำหรับคนดนตรี เป็นตลาดสร้างสรรค์ และเป็นพื้นที่ที่พร้อมเปิดรับพลังงานสร้างสรรค์จากทุกคน เราพร้อมที่จะส่งเสริมและสนับสนุนทุกไอเดียให้กลายเป็นจริง ผ่าน Creative Business Center ที่ทรงพลังและมีอิทธิพลในระดับภูมิภาคในการกระตุ้นและขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ในภาคอีสาน จุดประกายโอกาสใหม่ ๆ ผ่านการเชื่อมโยงเครือข่ายธุรกิจสร้างสรรค์ต่าง ๆ เข้าด้วยกัน พร้อมทั้งมอบทรัพยากรที่ส่งเสริมการเรียนรู้ด้านการออกแบบและนวัตกรรม รวมถึงพื้นที่สำหรับการแลกเปลี่ยนความรู้และเครื่องมือที่จำเป็น เพื่อให้ “ความคิด” ของทุกคนสามารถเติบโตและพัฒนาไปสู่ต้นแบบที่จับต้องได้จริงใน Isan Creative Festival 2025 ครั้งที่ 5 นี้ TCDC ขอนแก่น ทำหน้าที่เป็นพื้นที่หลักสำคัญทั้งในระดับภูมิภาคและระดับประเทศ โดยจะเป็นสถานที่เจ้าภาพจัดงานใหญ่ ๆ อาทิ ISAN MICE EXPO, The Secret Sauce Business Weekend อีสาน 2025, ISAN Showcase 2025, D-KAK Market, Copilot by Microsoft ฯลฯ รวมถึงเวิร์กชอปที่ช่วยพัฒนาไอเดียไปสู่แผนธุรกิจที่ใช้งานได้จริง ซึ่งทั้งหมดนี้มี TCDC ขอนแก่นเป็นแกนกลางของการขับเคลื่อนเปลี่ยน “ความรู้” ให้กลายเป็น “แรงผลักดัน” เปิดโอกาสให้ทุกคนมาเติมไฟความคิด แล้วส่งต่อแรงบันดาลใจแบบไม่มีขีดจำกัดโรงแรมพูลแมน ขอนแก่น: เสาหลักแห่งโอกาสทางธุรกิจสร้างสรรค์ระดับสากลโรงแรมพูลแมน ขอนแก่น โรงแรมมาตรฐานระดับสากลที่เปิดให้บริการใจกลางเมืองขอนแก่นมานานกว่า 28 ปี ได้ประกาศการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ภายใต้สโลแกน “The Big Transformation Begins” ตั้งแต่ปี 2024 เป็นต้นมา และพร้อมแล้วที่จะเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญในการจัด ISANCF 2025 โดยจะเข้ามาเสริมสร้างความแข็งแกร่งและความมั่นคงให้กับโอกาสทางธุรกิจสร้างสรรค์ของภาคอีสานในระดับสากลโรงแรมพูลแมน ขอนแก่น ได้ผนึกกำลังกับ ISANCF 2025 เพื่อขยายขอบเขตการให้บริการจากห้องพักและห้องประชุมสุดหรู สู่การเป็นเวทีสำหรับกิจกรรมสำคัญต่าง ๆ อาทิ Kupper Art Fes 2025, Innovation Sumit Academy เป็นส่วนหนึ่งของการจับคู่ทางธุรกิจ (Business Matching) การจัดแสดงนิทรรศการเชิงธุรกิจสร้างสรรค์ การเสวนาแลกเปลี่ยนความรู้เข้มข้น และกิจกรรมที่มุ่งเน้นการต่อยอดทุนสร้างสรรค์ให้กลายเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจในวงกว้างหากเปรียบ ISANCF เป็นสะพานที่เชื่อมโยงโอกาส โรงแรมพูลแมน ขอนแก่น ก็คือ “เสาหลักสำคัญ” ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงเครือข่ายระหว่างภูมิภาคอีสานกับโลกภายนอก โดยจะเปิด “โอกาส” ให้กับคนในพื้นที่ได้แสดงศักยภาพสู่สายตาสากล เมื่อโรงแรมแห่งนี้กลายเป็นพื้นที่แห่งการแบ่งปันความมั่นคงของเมือง และการประชุมต่าง ๆ กลายเป็นจุดเริ่มต้นในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจ พร้อมกับการรวมตัวของผู้คนหลากหลายในพื้นที่เดียว เมืองขอนแก่นก็พร้อมที่จะก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ ชุมชนสร้างสรรค์โคลัมโบ ศูนย์รวมงานคราฟต์และแหล่งกำเนิดศิลปะสื่อสารไร้พรมแดน ย่านโคลัมโบ ได้รับการยอมรับและเติบโตอย่างต่อเนื่องในฐานะศูนย์รวมของนักออกแบบและผู้ทำงานคราฟต์ฝีมือดีในเมืองขอนแก่น และจากจุดนี้เอง ISANCF จึงได้ค้นพบโอกาสในการสร้าง “ชุมชนสร้างสรรค์” ที่จะช่วยให้เมืองสามารถสื่อสารและพัฒนาผ่านผู้คน รวมถึงผลงานศิลปะที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ด้วยภาษาที่ไม่จำเป็นต้องแปลความเมื่อมาเยือนชุมชนสร้างสรรค์โคลัมโบ ผู้เข้าชมจะได้สัมผัสกับประสบการณ์ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น นิทรรศการศิลปะร่วมสมัย ที่จัดแสดงผลงานน่าสนใจ, เวิร์กชอปศิลปะการสื่อสารแนวใหม่ ที่เปิดโอกาสให้ได้เรียนรู้และลงมือทำ, โชว์เคสแบบอินเทอร์แอคทีฟ ที่จะดึงดูดให้คุณมีส่วนร่วม, และ พื้นที่ทดลองงานศิลปะที่เปิดกว้างโดยไม่ต้องผ่านขั้นตอนที่ซับซ้อนท่ามกลางร้านเล็ก ๆ ที่จำหน่ายงานคราฟต์ทำมือ คุณสามารถพูดคุยกับผู้สร้างสรรค์ผลงานโดยตรง และยังสามารถเข้าร่วมกิจกรรมเวิร์กชอปที่ไม่เหมือนใคร เพื่อลองลงมือสร้างสรรค์ผลงานด้วยตัวเอง นับเป็นประสบการณ์ที่จะทำให้คุณได้สัมผัสกับพลังแห่งศิลปะและงานคราฟต์อย่างแท้จริง ชุมชนสาวะถี ต้นแบบแห่งวัฒนธรรมอีสานที่มีชีวิตชีวา ชุมชนสาวะถี คือต้นแบบของวิถีชีวิตอีสานอันงดงามและเรียบง่าย ที่ยังคงเปี่ยมไปด้วยพลังอันอ่อนโยน หรือ Soft Power ของคนในพื้นที่ พวกเขาได้ร่วมกันอนุรักษ์ สืบทอด และต่อยอดวัฒนธรรมอันยิ่งใหญ่ที่สืบทอดกันมากว่า 100 ปี ไม่ว่าจะเป็นวรรณกรรม สินไซ สิม หรือแม้แต่วัฒนธรรมอาหารในเทศกาล ISANCF 2025 นี้ จะพาทุกคนเข้าไปสัมผัสกับชุมชนสาวะถีอย่างใกล้ชิด เพื่อร่วมเรียนรู้วิถีชีวิตต้นแบบบนเวทีจริงของการแสดงออกถึงความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมท้องถิ่น ผ่านกิจกรรม “สาวะถีโฮม พ(ร)าว” ซึ่งเป็นต้นแบบของชุมชนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่มีชีวิตชีวาชุมชนแห่งนี้สามารถนำเรื่องราวและต้นทุนทางวัฒนธรรมอันรุ่มรวย ทั้งขนบธรรมเนียม ประเพณี ศิลปะ และวิถีชีวิตที่โดดเด่น มาแสดงให้เห็นถึงโอกาสในการต่อยอดธุรกิจสร้างสรรค์อย่างเป็นรูปธรรม โดยอาศัยองค์ความรู้จากภูมิปัญญาอีสาน และการทำงานร่วมกันระหว่างนักออกแบบกับชาวบ้านท้องถิ่นชุมชนสาวะถี จะพาคุณไปค้นพบว่า “งานสร้างสรรค์” ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในเมืองใหญ่เท่านั้น แต่สามารถเกิดขึ้นได้จากการเชื่อมโยงคนรุ่นใหม่เข้ากับคนรุ่นก่อน การผสมผสานดีไซน์สมัยใหม่เข้ากับภูมิปัญญาดั้งเดิม และการนำเสนอโอกาสในตลาดใหม่ ๆ โดยยังคงยึดโยงอยู่กับรากฐานอันแข็งแกร่งของหมู่บ้านเดิมเทศกาลอีสานสร้างสรรค์ ไม่ใช่เทศกาลฯ ที่ลอยอยู่เหนือเมือง แต่เกิดขึ้น “ในเมืองจริง ๆ” พื้นที่ทั้ง 4 แห่งนี้ คือสนามที่พลังสร้างสรรค์จะวิ่งเล่น พักผ่อน เติบโต และบางทีอาจจะ “เปลี่ยนทิศทางของเมืองทั้งเมือง” เมื่ออีสานโชว์พราว ไม่ได้หมายถึงเวทีเดียว หรือใครคนเดียว แต่คือการเปิดพื้นที่ให้ทุกเสียง ทุกราก และทุกความตั้งใจได้เปล่งประกายในแบบของตัวเองพบกันที่ขอนแก่น และพื้นที่อื่น ๆ ทั่วภาคอีสาน — ภูมิภาคที่มี “พื้นที่ให้ความคิดสร้างสรรค์ได้เติบโต”#ISANCREATIVEFESTIVAL#เทศกาลอีสานสร้างสรรค์ #ISANCF2025#อีสานโชว์พราว
04 มิ.ย. BBBB
เบื้องหลัง KEY VISUAL ของงาน ISANCF2025
เบื้องหลัง KEY VISUAL ของงาน ISANCF2025 : การตีความอีสานใหม่ ที่โชว์พ(ร)าวอย่างมีสไตล์ทุกปีของ ISAN CREATIVE FESTIVAL คือพื้นที่ทดลองความคิดสร้างสรรค์ของนักออกแบบรุ่นใหม่และรุ่นเก๋าจากทั่วประเทศ และในปี 2568 นี้ คำว่า “อีสานโชว์พ(ร)าว : ISAN SOUL PROUD” ถูกหยิบขึ้นมาเป็นหัวใจหลักของงาน เพื่อสื่อสารพลังในแบบฉบับอีสานที่ทั้งจริงจัง และจริงใจแต่จะพูดเรื่องอีสานอีกครั้ง โดยไม่ซ้ำใครได้ยังไง?ทีมออกแบบ Key Visual ปีนี้เลือกคำตอบด้วยการ “ลงลึก” ในอัตลักษณ์ และ “ยกขึ้น” สู่การตีความใหม่ผ่านการออกแบบที่เห็นภาพชัด และร่วมสมัยมากขึ้น“ไม่ต้องสร้างของใหม่ แค่กล้าจะมองของเดิมในมุมใหม่” คือจุดตั้งต้นของกระบวนการออกแบบ ที่ไม่ปฏิเสธแคน กระติ๊บข้าว หรือผ้าขิด แต่ออกแบบให้กลายเป็นพลังที่ชวนมองอีกครั้ง สื่อสารอุตสาหกรรมหลัก ด้วยสัญลักษณ์ที่เราคุ้นในปีนี้ ทีมออกแบบเลือกใช้ภาพถ่ายจริงมากกว่ากราฟิกหรืองานวาด เพื่อให้เกิดความรู้สึกจับต้องได้มากขึ้น ทั้งในเชิงรูปธรรมและนามธรรม เมื่อวางลงบนสื่อประชาสัมพันธ์ต่าง ๆ ผู้ชมจะรู้สึกได้ถึง “ความเป็นของจริง” และ “ความเป็นอีสาน” โดยไม่ต้องเขียนกำกับไว้ องค์ประกอบที่หลากหลายในภาพ ไม่ได้มาเพราะ “สวย” เท่านั้น แต่ล้วนมีที่มาและเชื่อมโยงกับ 3 อุตสาหกรรมหลักของเทศกาลปีนี้ อย่างเช่นอุตสาหกรรมอาหาร ‒ ปลาตะเพียน ถูกเลือกมาเป็นตัวแทนวัตถุดิบพื้นบ้านที่นำไปแปรรูปเป็น ปลาร้าชั้นดี หนึ่งในอาหารอีสานที่ขึ้นชื่อไปทั่วประเทศและทั่วโลกอุตสาหกรรมหัตถกรรม ‒ ผ้าไหมลายขิด ถูกนำมาตัดทอนลวดลาย สร้างเป็นแพทเทิร์นพื้นหลังที่เรียบง่าย แต่คงกลิ่นอายงานทอผ้าอุตสาหกรรมบันเทิง ‒ พิณ แคน โปงลาง ไม่ใช่แค่เครื่องดนตรีพื้นบ้าน แต่เป็นเอกลักษณ์ทางดนตรีที่สะท้อนความสนุกสนาน กล้าลอง และยังโด่งดังไกลถึงระดับโลก เชื่อมอดีต–ปัจจุบัน–อนาคต ด้วยภาพตั้งแต่ขั้นตอนค้นคว้าเชิงลึก ไปจนถึงการถ่ายภาพใหม่ และจัดองค์ประกอบกราฟิกแบบ 2D – 3D ทีมออกแบบใช้เวลากับ Key Visual นี้อย่างละเอียดและตั้งใจ ผ่านการทดลองทั้งหมด 4 เวอร์ชันก่อนจะได้เป็นแบบสุดท้ายที่ทุกคนเห็นกันองค์ประกอบที่เราคุ้นตากลับถูกจัดวางใหม่ด้วยเทคนิค COLLAGE วางองค์ประกอบให้เกิด การสะท้อนกัน (VISUAL REFLECTION) เพื่อสื่อถึง “อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต” ที่สอดประสานกัน ทั้งหมดนี้ไม่ได้เพื่อความสวยงามเพียงอย่างเดียว แต่เพื่อ “สร้างพลัง” ที่ผู้ชมจะรู้สึกได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น “สีเขียว” คือสีที่เป็นภาพจำของงานเทศกาลฯ ทุกปีที่ผ่านมา ในปีนี้ทีมออกแบบได้เพิ่มความสดใหม่ด้วยชุดสีที่จัดจ้านขึ้น สะท้อนถึงความสดใส ทันสมัย และเปี่ยมพลัง สื่อถึงจิตวิญญาณแห่งความคิดสร้างสรรค์ของอีสานยุคใหม่ สีสันที่เลือกใช้เปิดกว้างต่อการตีความ และช่วยสร้างอัตลักษณ์เฉพาะตัวให้กับเทศกาลอย่างชัดเจน และยังได้หยิบแพทเทิร์นงานสาน การถักทอ มาเพิ่มกิมมิคให้งานน่าสนใจมากขึ้นอีกหนึ่ง Element ที่สอดแทรกเข้ามาในงานออกแบบคือ การใช้ส่วนประกอบของ “พิณ” มาต่อยอดในงานออกแบบ ทั้งตัวอักษร และ Pictogram เห็นได้ชัดในส่วนหัวของตัวอักษร ที่มีความหักงอ และโค้งมนไปพร้อมๆ กัน ทำให้กลายเป็นฟอนต์ที่โมเดิร์น แต่ยังแฝงจังหวะดนตรีและอารมณ์อีสานไว้อย่างแนบเนียนอีสานโชว์พ(ร)าว ไม่ใช่แค่ภาพ แต่คือพลัง Key Visual ของปีนี้ตั้งใจให้ผู้ชม ไม่ใช่แค่ “ดู” แต่ “ตีความ” ให้เห็นว่าอีสานสร้างสรรค์ไม่ได้หยุดอยู่ที่ของเดิม แต่กล้าที่จะต่อยอดอย่างเป็นธรรมชาติ MOOD & TONE จึงเน้นความร่วมสมัย แต่ยังคงความอบอุ่นและมีชีวิตชีวาแบบอีสานดั้งเดิม มีพลังของความคิดสร้างสรรค์ แต่ไม่ทิ้งความเคารพต่อรากเหง้า โดยผลงานนี้จะสามารถดึงดูดทั้งกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่และสื่อสารกับคนทั่วไปให้เกิดความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับ “อีสาน” ที่ลึกซึ้งกว่าเพียงแค่ภาพจําแบบเดิมให้ภูมิภาคที่เราคุ้น กลับมาน่าค้นหาอีกครั้ง — ผ่านสายตาของผู้กล้าคิด และหัวใจของคนที่ยัง “ภาคภูมิใจ” ในอีสานเสมอ
03 มิ.ย. BBBB
𝗢𝗽𝗲𝗻 𝗖𝗮𝗹𝗹 ISANCF2025
𝗢𝗽𝗲𝗻 𝗖𝗮𝗹𝗹 𝗳𝗼𝗿 𝗔𝗽𝗽𝗹𝗶𝗰𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻𝘀เทศกาลอีสานสร้างสรรค์ 2568 “อีสานโชว์ พ(ร)าว : ISAN SO(UL) PROUD” เทศกาลที่จะ “โชว์” ให้เห็นศักยภาพของ “อีสาน” ภูมิภาคที่เต็มไปด้วย “โอกาส” ของนักสร้างสรรค์ ผ่าน 3 มิติ โอกาสจากต้นทุนทางวัฒนธรรม (Content Base)โชว์โอกาสจากต้นทุนสินทรัพย์ทางวัฒนธรรมอันรุ่มรวยของอีสาน เป็น Soft Power ที่พร้อมต่อยอดด้วยความคิดสร้างสรรค์ สู่โอกาสใหม่โอกาสจากศักยภาพของพื้นที่ (Area Base)โชว์โอกาสจากศักยภาพเชิงพื้นที่ในภูมิภาคอีสาน ทั้งในระดับกลุ่มจังหวัด เมือง ย่าน และชุมชน ที่พร้อมเป็นภูมิภาคที่น่าอยู่ด้วยไลฟ์สไตล์ที่มีเสน่ห์ น่าลงทุน ด้วยอีสานมีศักยภาพทุกมิติ และน่าเที่ยว ด้วยการสร้างประสบการณ์ที่หลากหลาย โอกาสจากอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (Industries Base)โชว์โอกาสของอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ทั้ง 3 อุตสาหกรรม ได้แก่ อุตสาหกรรมบันเทิงและคอนเทนต์, อุตสาหกรรมหัตถกรรม ศิลปะ และการออกแบบ, อุตสาหกรรมอาหาร ให้เข้าถึงแพลตฟอร์มเชื่อมโยงธุรกิจผ่านกระบวนการจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) เข้าถึงตลาดจริงทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งสร้างความเข้มแข็งของเครือข่ายภาคการศึกษาสู่เวทีสากลIsan Creative Festival 2025 (ISANCF2025) จึงขอชวนนักสร้างสรรค์ ผู้ประกอบการ สถาบันการศึกษา และเครือข่ายนักสร้างสรรค์จาก 20 จังหวัดอีสาน มาร่วมแสดงพลัง และสัมผัสประสบการณ์เกี่ยวกับอีสานในมุมมองสุดพิเศษ ใน “อีสานโชว์ พ(ร)าว: ISAN SO(UL) PROUD” ระหว่างวันที่ 28 มิถุนายน – 6 กรกฎาคม 2568 ใน 5 พื้นที่จัดงานหลัก ได้แก่ TCDC ขอนแก่น, โฟกัสอารีน่า, ย่านสร้างสรรค์โคลัมโบ, โรงแรมพูลแมน ขอนแก่น ราชา ออคิด, ชุมชนสาวะถี และพื้นที่อื่น ๆ ในภาคอีสานโดยเปิดรับข้อเสนอโปรแกรม (Open Call) งานออกแบบและงานสร้างสรรค์ในโปรแกรมหลากรูปแบบ ได้แก่ การจัดแสดงผลงานและนิทรรศการ (Showcase & Exhibition) การเสวนา (Talk) เวิร์กช็อป (Creative Workshop) โปรแกรมบันเทิง (Entertainment program) ตลาดสร้างสรรค์ (D-Kak Market) และ อีเวนต์ (Event & Entertainment Program) APPLICATION PROCESSสมัครเข้าร่วมจัดเทศกาลฯ ได้ที่ : 1. การจัดแสดงผลงานและนิทรรศการ (Showcase & Exhibition):: https://forms.gle/b1aptfPLQGTbpZT792. การเสวนา (Talk):: https://forms.gle/aynTpvcK4AKHktpo83. เวิร์กช็อป (Creative Workshop):: https://forms.gle/h8JGZR91f3a1gScV84. โปรแกรมบันเทิง (Entertainment program):: https://forms.gle/KQQnWYmDXFn4ycru55. ตลาดสร้างสรรค์ (D-Kak Market):: https://forms.gle/CEKqYxWMHvQtegRH86. อีเวนต์ (Event):: https://forms.gle/XyvYGMrks1kSiU1F9 โปรดศึกษาคำอธิบายธีมงานประจำปี รายละเอียด เงื่อนไขและข้อกำหนดของกิจกรรมและโจทย์การนําเสนอโปรแกรมให้ครบถ้วน : คู่มือการเข้าร่วมเทศกาลฯ 2568 (ISANCF2025).pdfCONTACT USหากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการเข้าร่วมจัดเทศกาลฯ หรือต้องการความช่วยเหลือจากทีมงานสามารถติดต่อเราได้ที่อีเมล: program.isancf@cea.or.thโทร: 043 009 389 ต่อ 401, 402 และ 404อังคาร – อาทิตย์ 10.30 – 17.30 น.
11 มี.ค. BBBB